ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ภาวะหุ้นและทอง 22-4-2010

SET : การวิเคราะห์ในระยะหลังๆผมแทบไม่ได้พูดถึงปัจจัยพื้นฐานเลยแม้แต่น้อย ที่จริงราคาหุ้นควรจะสะท้อนปัจจัยพนื้ ฐาน โดยปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดก็คือ กำไรสุทธิ ของ บมจ.ต่างๆ แต่ในระยะนี้ SET มีการแกว่งตัวขึ้นและลงต่อวันแรงมากๆ ซึ่งเป็นไปตามปัจจัยแรงซื้อของผู้เล่นรายใหญ่ ก็คือ ฝรั่งกับกองทุน และปจั จัยทางการเมืองเป็นสำคัญ

P/E ของ SET อยู่ที่ 13.71 เท่าซึ่งถือว่าค่อนข้างถูก จึงทำให้รายใหญ่ที่มีสายป่านยาวกล้าซื้อ และยอมรับความเสี่ยงทางการเมืองได้ในระดับหนึ่ง.....ความมั่นใจของนักลงทุนจะผลักดันให้ราคาหุ้นแพง ซึ่งจะทำให้ค่า P/E แพงตามไปด้วย ผมจำได้ในช่วงปลายปีที่แล้ว .ระดับ SET 750 จุด ค่า P/E อยู่ที่ 26 เท่าสิ่งสำคัญที่เป็นเช่นนั้นคือ ความเสี่ยงทางการเมืองไม่ได้สูงถึงขนาดปัจจุบันช่วงก่อนหน้าที่กองทุนขายหนัก จนขนาดที่ว่าไม่รู้เอาหุ้นมาจากไหนถึงขายได้เยอะเท่านั้น คำตอบก็คือหุ้นในพอร์ตและรวมทั้งที่ยืมมาขายด้วย เมื่อขายไปมากก็ต้องซื้อกลับด้วยเหตุผลคือ ยืมมาขายก็ต้องซื้อคืนเขา และ สัดส่วนหุ้นในพอร์ตต้องคงไว้ตามที่กำหนดไว้ในนโยบายการลงทุนของกองทุนเมื่อสองวันที่ผ่านมาจึงทำให้ SET บวกขึ้นกว่า 40 จุดแต่ก่อนหน้าเขาได้ Long Set50 future ไว้แล้วเพราะรู้ก่อนแล้วว่าจะมีแรงซื้อขนาดใหญ่เข้ามาแน่ๆ เมื่อ SET ขึ้นS50Future ก็ขึ้น Set50ขึ้นประมาณ 30 จุด คิดเป็นกำไรคือได้กำไรประมาณ 30,000 จากการวางเงิน 50,000 บาท พูดง่ายๆคือ 60% ในวันเดียว ต่อมาอีกวัน(เมื่อวาน)ก็ Long ไว้กว่า 1 พันสัญญา ทั้งๆที่ไม่ได้มีข่าวดี แต่เราก็ได้เห็น SET เขียวได้ในระหว่างวันถึง 3 ครั้ง เพื่อ Short Close....จากเหตุผลที่กล่าวมา SET 50 future จึงมีบทบาทในการกำหนดทิศทาง SET ในวันรุ่งขึ้นครับ

ตอนนี้กองทุนเริ่มขายหุ้นและ Short Future ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นการ Short Close ซะมาก แต่ฝรั่งเข้ามาซื้อหุ้น2000 ล้านบาทรวมถึง Long S50 Future สุทธิ ประมาณ 1100 สัญญา วันนี้มีโอกาสเป็นไปได้มากว่า SET จะบวก ทั้งๆที่ประเทศไทยยังหาข่าวดี และทางออกทางการเมืองไม่ได้ครับ

ทอง : ย่ำอยู่ที่ระดับ 1140 มานาน แต่บาทแข็งทำให้ราคาทองไทยถูกลงอีก---ภาพยังไม่ชัดนะครับ แต่ถ้ามองไปที่ SPDR ก็น่าเข้า Long ได้.


ปล.บทความภาวะตลาดหุ้นและทอง จัดทำและส่งทางE-mailเป็นประจำทุกเช้า และจะเผยแพร่ทางBlogอย่างเร็วหลังปิดตลาดภาคเช้า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Margina

กระบวนการ(process) สำคัญกว่า ผลลัพธ์(output)

ฝากถึงน้องๆที่เรียนหรือทำงานสายการตลาด หรืองานใดที่มีเป้าหมาย(goal)เป็นสำคัญ รวมถึงท่านผู้บริหาร.... อย่าได้ไปสนใจผลลัพธ์[output] เป้าหมายหรือคะแนนที่ได้ มากจนเกินไป หลายครั้งที่ผลลัพธ์นั้นเป็นปัจจัยที่เราไม่อาจควบคุมได้ หรือต้องใช้โชคช่วย(ดวง) แต่ถ้าเรามีการทำงานหรือมีกระบวนการทำงาน(PROCESS)ที่ดี ...แม้ว่าผลลัพธ์วันนี้ยังไม่ดี จะขอให้เชื่อมั่น และมั่นใจ ในประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานที่ดี และมีคุณภาพ ว่าสักวันหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ดีจะต้องตามมา อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่หากบางท่านมีกระบวนการที่ไม่ดี แต่ดันโชคช่วยมีผลงานที่ดี ก็อย่าได้เบาใจ จะขอให้ จงระมัดระวัง ว่าผลลัพธ์หรือลูกค้าที่ดีนั้น จะอยู่กับท่านได้ไม่นาน หรืออาจจะไม่มีอีกต่อไปก็เป็นได้ เพราะว่าดวงที่ดี จะไม่มาช่วยท่านอยู่บ่อยๆหรอก สรุปคือ ... "กระบวนการดี ผลลัพธ์ดีแน่ กระบวนการไม่ดี ผลลัพธ์ไม่แน่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่าบ้าผลลัพธ์มากจนเกินไป สิ่งสำคัญคือการพัฒนาการทำงาน ไม่ใช่ทำทุกทางเพื่อความสำเร็จ สำเร็จแล้วมิใช่เอาแต่ทำบุญหวังโชค หากต้องพัฒนาตนให้ก้าวต่อไปด้วย จึงจะมั่นคง" ปล.ต่อยอดความคิดจ

My Hero

ผมเคยได้ดูภาพยนต์ที่ดีมากๆเรื่องหนึ่งชื่อว่า Batman-The Dark Knight และได้สรุปความลักษณะของฮีโร่คนนี้ได้ว่าเป็นบุคคลประเภท ปิดทองหลังพระ (ตามพระราชดำรัสของในหลวงที่เคารพยิ่งของเรา ที่หวังให้คนไทยเป็นคนดีให้ได้เช่นนี้บ้าง)กล่าวคือ เป็นผู้ซึ่งมีความต้องการช่วยเหลือผู้คนและขจัดความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆรวมทั้งชื่อเสียงและความมีหน้ามีตาในสังคม อีกทั้งยังได้ลงทุนลงแรงมากมายเพื่อให้สำเร็จตามประสงค์ของตนที่อยากได้สังคมที่ดีขึ้นกว่าที่เป็น ในชีวิตจริงนั้นคงเป็นไปได้ยากที่ในสังคมหนึ่งๆ หรือแม้แต่โลกทั้งใบกลมๆนี้จะมีคนเฉกเช่น Batman เพราะการทำดีในสังคมที่มีแต่อวิชชาหรือความโลภเป็นที่ตั้งนั้น กลับเป็นเรื่องยากที่ผู้ต้องการทำความดีที่อาจต้องมีการเสียสละเกิดขึ้น ซึ่งการเสียสละนี้จะเป็นต้นทุนหรือสิ่งที่เป็นผลเสียต่อคนที่ตั้งใจทำความดีนั้นให้ล้มเลิกความคิดไป หากแต่สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังจากสื่อต่างๆนั้นการทำความดีต่างๆที่พบเจอ 90%หรือมากกว่านั้นเสียอีก คนที่ทำดีผู้นั้นเขาทราบดีว่าเขาจะได้ออกสื่อหรือแม้แต่เป็นผู้เชิญชวนสื่อให้มาทำข่าวในเรื่องที่เขาทำความดีด้วยตัวเอง ซึ่งพบ