ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ภาวะหุ้นและทอง 1-4-2010

SET : ตลาด SET บ้านเราเหมือนนักวิ่งมาราธอนโดยมีเป้าหมายแน่นอนยังไงยังงั้น ตามอุดมคติที่หลายๆท่านบอกได้ ( Ideal goal ) ที่ระดับ 800 จุด โดยเมื่อวานขึ้นไป สูงสุด 799.06 จากการไล่ซื้อ PTT ขึ้นไปอย่างชัดเจนเมื่อถึงระดับใกล้ๆ 800 อาจจะบอกได้ว่าเป็น Killing Zone แล้วดูเหมือนจะหมดแรง และไม่มีใครกล้าเข้าไปซื้อเพิ่ม นอกจากต่างชาติ จึงมีแรงเทขายออกมาจนสุดท้ายปิดตลาดลบลงมาเล็กน้อย

ผมสังเกตเงินที่ต่างชาติเข้ามาเพื่อซื้อหุ้นไทย เฉพาะเดือนมีนาคมมีสะสมอยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท เมื่อดัชนีมาขึ้นมาแรงถึงระดับนี้ ผมคาดการณ์คร่าวๆว่าเค้ามีกำไรมากกว่า 10% ขึ้นไป เพราะฉะนั้นที่ราคานี้เค้าจะมีกำไรอยู่ทุกระดับราคา....มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีแรงขายออกมาในSETบ้านเรา แต่คำถามของผมคือ แล้วใครจะมาซื้อต่อ ???หากนักลงทุนในตลาดSET บ้านเราทั้งหมดมีมุมมองว่าราคายังไม่แพง จริงๆผมก็มองตามปัจจัยพื้นฐานราคาหุ้นไทยยังไม่แพงมาก เพียงแต่ว่าราคาขึ้นมาเร็วและแรงมากเกินไปจนหลายท่านบอกว่าซื้อไม่ลง

สมมติจากระดับ SET ที่ 800 แล้วมีการ take profit ออกมา 3% จะอยู่ที่ 776 ถ้า 5%จะอยู่ที่ 760 .....สถาณการณ์ตอนนี้อยู่ในช่วงเก็งกำไรค่อนข้างจะรุนแรงหากต้องการซื้อลงทุนผมว่าเข้าได้ตามระดับดัชนีที่ประมาณ 780 ลงมา(หากยืนไม่ได้) น่าจะทยอยรับได้อย่างไรก็ตาม อาจมีการฉวยโอกาสปรับตัว + โดยใช้ปัจจัยพื้นฐานราคาน้ำมันปับตัวขึ้นมาแรง หากนักลงทุนท่านไหนไม่ได้ที่อยู่หน้าจอแล้วเข้าไปซื้อเก็งกำไรในช่วงเช้า ก็ให้โทรมาแจ้งราคาที่อาจจะต้องซื้อเพิ่มหรือ Cut loss เพื่อรองรับความเสี่ยงสำหรับแรงเทขายที่อาจเกิดขึ้นในช่วงบ่ายนะครับ

เก็งกำไรได้ก็ kbankนะครับ เนื่องจากปรับตัวลดลงมาแรงและก็ kbank-f ราคาห่างจาก kbank มากเกินไป

ทองคำ : ขอสั้นๆนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อให้ : เงินบาทแข็งค่าทำให้ทองคำไทยถูกมาก / SPDR สะสมต่อเนื่อง-เยอะด้วย / มีการคาดการณ์ demand ทองคำจากจีนจะมากเป็นสองเท่า / $ ในภาพระยะกลาง ขึ้นมาแรงมากไปแล้ว สรุปคือ ข่าวดีมีมากครับ ^^

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Margina

กระบวนการ(process) สำคัญกว่า ผลลัพธ์(output)

ฝากถึงน้องๆที่เรียนหรือทำงานสายการตลาด หรืองานใดที่มีเป้าหมาย(goal)เป็นสำคัญ รวมถึงท่านผู้บริหาร.... อย่าได้ไปสนใจผลลัพธ์[output] เป้าหมายหรือคะแนนที่ได้ มากจนเกินไป หลายครั้งที่ผลลัพธ์นั้นเป็นปัจจัยที่เราไม่อาจควบคุมได้ หรือต้องใช้โชคช่วย(ดวง) แต่ถ้าเรามีการทำงานหรือมีกระบวนการทำงาน(PROCESS)ที่ดี ...แม้ว่าผลลัพธ์วันนี้ยังไม่ดี จะขอให้เชื่อมั่น และมั่นใจ ในประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานที่ดี และมีคุณภาพ ว่าสักวันหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ดีจะต้องตามมา อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่หากบางท่านมีกระบวนการที่ไม่ดี แต่ดันโชคช่วยมีผลงานที่ดี ก็อย่าได้เบาใจ จะขอให้ จงระมัดระวัง ว่าผลลัพธ์หรือลูกค้าที่ดีนั้น จะอยู่กับท่านได้ไม่นาน หรืออาจจะไม่มีอีกต่อไปก็เป็นได้ เพราะว่าดวงที่ดี จะไม่มาช่วยท่านอยู่บ่อยๆหรอก สรุปคือ ... "กระบวนการดี ผลลัพธ์ดีแน่ กระบวนการไม่ดี ผลลัพธ์ไม่แน่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่าบ้าผลลัพธ์มากจนเกินไป สิ่งสำคัญคือการพัฒนาการทำงาน ไม่ใช่ทำทุกทางเพื่อความสำเร็จ สำเร็จแล้วมิใช่เอาแต่ทำบุญหวังโชค หากต้องพัฒนาตนให้ก้าวต่อไปด้วย จึงจะมั่นคง" ปล.ต่อยอดความคิดจ

My Hero

ผมเคยได้ดูภาพยนต์ที่ดีมากๆเรื่องหนึ่งชื่อว่า Batman-The Dark Knight และได้สรุปความลักษณะของฮีโร่คนนี้ได้ว่าเป็นบุคคลประเภท ปิดทองหลังพระ (ตามพระราชดำรัสของในหลวงที่เคารพยิ่งของเรา ที่หวังให้คนไทยเป็นคนดีให้ได้เช่นนี้บ้าง)กล่าวคือ เป็นผู้ซึ่งมีความต้องการช่วยเหลือผู้คนและขจัดความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆรวมทั้งชื่อเสียงและความมีหน้ามีตาในสังคม อีกทั้งยังได้ลงทุนลงแรงมากมายเพื่อให้สำเร็จตามประสงค์ของตนที่อยากได้สังคมที่ดีขึ้นกว่าที่เป็น ในชีวิตจริงนั้นคงเป็นไปได้ยากที่ในสังคมหนึ่งๆ หรือแม้แต่โลกทั้งใบกลมๆนี้จะมีคนเฉกเช่น Batman เพราะการทำดีในสังคมที่มีแต่อวิชชาหรือความโลภเป็นที่ตั้งนั้น กลับเป็นเรื่องยากที่ผู้ต้องการทำความดีที่อาจต้องมีการเสียสละเกิดขึ้น ซึ่งการเสียสละนี้จะเป็นต้นทุนหรือสิ่งที่เป็นผลเสียต่อคนที่ตั้งใจทำความดีนั้นให้ล้มเลิกความคิดไป หากแต่สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังจากสื่อต่างๆนั้นการทำความดีต่างๆที่พบเจอ 90%หรือมากกว่านั้นเสียอีก คนที่ทำดีผู้นั้นเขาทราบดีว่าเขาจะได้ออกสื่อหรือแม้แต่เป็นผู้เชิญชวนสื่อให้มาทำข่าวในเรื่องที่เขาทำความดีด้วยตัวเอง ซึ่งพบ