ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความเดิมแต่อยากให้อ่านซ้ำ




บทความเดิมแต่อยากให้อ่านซ้ำ หลายๆรอบ เรื่อง Price's discount everything http://goodnum.blogspot.com/2011/02/prices-discount-everything.html

อยากให้พวกเราได้อ่านกัน ซ้ำๆนะครับ เหตุผล เพราะว่าช่วงนี้กระแสข่าวเยอะ หุ้นตัวเล็กๆก็ rallyขึ้นมาพอสมควร จะมีข่าวลือ ข่าวหลอก ข่าวร่วมแห่ อะไรก็ช่าง สุดท้ายมันจะจบลงด้วยการตัดสินใจของท่านเอง และผลกำไรหรือขาดทุนของท่านที่จะตามมา 

ในความเห็นผม ผมอยากให้ท่านเมื่อได้รับข่าวมาให้นึกไว้ในใจไว้ว่า ท่านอยู่ปลายน้ำในกระแสข่าวเสมอๆ (เพื่อความไม่ประมาท:Safety first) อย่าไปนึกว่าเราเป็นคนพิเศษเค้าจึงมาบอกเรา (เค้าที่ว่าก็ยังเอาตัวไม่รอดหรือยังไม่รวยพอ) ยกเว้นแต่ท่านมีกลุ่มเพื่อน(ที่ไม่หักหลัง)ช่วยกันแห่ยกราคาหุ้น เนื่องจากเพื่อนท่านคนนี้เค้าเป็นโคตรเซียนFundamentalหุ้นระดับเทพ หรือเป็นแค่ insider ธรรมดาๆคนนึง (อย่างหลังนี่ติดคุกนะครับ)

ผมไม่ได้กล่าวความเห็นผมออกมาแบบความรู้สึกส่วนตัวของผมเอง แต่นักลงทุนที่ศึกษาหรืออยู่ตลาดมานานจะรู้และเข้าใจกันดีว่า วงจรการขึ้นลงของหุ้น (Elliot wave) เป็นไปตามธรรมชาติของมันแบบนี้ทุกครั้งไป ซึ่งประกอบไปด้วย wave 1-2-3-4-5 และ A-B-C
wave ขาขึ้น ประกอบไปด้วย = 1 เริ่มขึ้น(insider: วงใน และโคตรเซียน fundamental เริ่มสะสมหุ้น)  -  2 ย่อ  -  3 ขึ้นจริง(คนเก่งFundamentalและ Technical เริ่มสะสมหุ้นเช่นกัน)  -  4 ขายทำกำไร (Technicalบางคนนับwaveผิดนึกว่าจบรอบ) -  5 เก็งกำไร,ตามแห่ แมงเม่าอดทนแรงจูงใจจากผลต่างราคาไม่ไหวจึงเข้ามาเก็งกำไรเพราะเห็นว่าดีจริง(waveของแมงเม่า/insiderยิ้ม)
และ wave ขาลง(จบรอบ) ประกอบไปด้วย = A เริ่มลง,ทุบ insiderออกของเมื่อจบข่าวเป็นคนแรก (แมงเม่าเริ่มซื้อเฉลี่ยขาลง) -  B เด้งขึ้นแบบยังมีความหวังในวงจรขาขึ้นรอบก่อน  -  C ลงจริง เพื่อกลับไปนับหนึ่งใหม่(จากแมงเม่าเข้าสู่โหมด เด็กดอย)

ตัวท่านเอง เงินท่านเอง ไม่มีใครอยากเสียเงิน แต่มื้อกลางวันก็ไม่มีฟรีๆ (there is no free lunch) ราคาที่คุณต้องจ่ายระวังจะไปช่วยให้รายใหญ่ออกของใน wave 5 ได้มากขึ้นก็แล้วกันนะครับ อิอิ

ปล.จากภาพประกอบ ขาลงไม่จำเป็นต้องโหดขนาดนั้นก็ได้นะครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Mar...

ภาวะหุ้นและทอง 2-7-10

ทอง : รายงานการใช้สิทธิเคลมการว่างงานในสหรัฐพุ่งสูงขึ้นเป็นทวีคูณ จาก 13000 เป็น 472000 ทำให้เงิน $ อ่อนยวบ และตามปัจจัยพื้นฐานนี้ อันที่จริงเท่าที่คำนวณน่าจะทำให้ทองคำบวกขึ้นไปประมาณ + 20 $ ได้ครับ แต่เหตุการณ์ที่เป็นบวกเช่นนี้กลับถูกแรงขายอย่างหนัก นำโดย SPDR แต่ก็ขายเพียงแค่ 1.22 ตันเท่านั้น ผสมโรง Follow by กองทุนทองคำต่างๆก็ขายออกมาตามกันทำให้ทองคำร่วงไปถึง 1195 ถือว่ารุนแรงมาก เมื่อเทียบ จาก ปริมาณขายที่ดูไม่ค่อยจะมากเท่าไรนัก ผมตื่นเช้ามาโดยหวังว่าน่าจะ Rebound กลับไปที่ 1215 ได้สบายๆแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ขณะที่เขียนเช้านี้อยู่ที่ระดับ 1202 เท่านั้น ปัจจัยทางเทคนิคที่เราเคยใช้เจ้า SMA 21 วันทำกำไรมา 3-4 รอบนั้นเป็นอันต้องลืมไปก่อนแล้วมาหาจุดสังเกตุกันใหม่ ตอนนี้น่าจะดูที่แนวรับ EMA (E=exponential) 75 วัน ซึ่งให้แนวรับที่ 1194 อันเป็นจุดที่ราคาลงมาทดสอบครั้งนึงแล้วไม่หลุดนั่นเองครับ รายงาน จาก สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าคนจะนำเงิน จาก การขายทองเพื่อไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลเนื่อง จาก ความผันผวนทางเศรษฐกิจ .... อ้าว....ตกลงทองไม่ใช่ Save Haven แล้วหรือ ก็ว่า...

Carbon credit ,ไม่ใช่เรื่องใหม่ มาอ่าน เข้าใจกันง่ายๆดีกว่า

"ผลกำไรของเอกชน เป็นของเอกชนเจ้านั้นๆ แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นั่นเป็นของสังคมโดยรวม" การทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไร แต่การดำเนินงานนั้นอาจจะส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมเป็นผลลบสู่สังคม หรือทำให้สังคมขาดทุน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิต  เช่น การผลิตรถยนต์นั้น ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการปล่อย Co2 ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกได้ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก หรือเรียกว่า greenhouse effect  ....นี่เป็นต้นทุนทางสังคม Benefit-cost เราเรียกการทำให้สังคมเสียหายนี้ว่า Negative externalities แปลเป็นไทยแบบภาษาพูดง่ายๆ ก็คือ การประกอบธุรกิจเพื่อหวังผลกำไรของเอกชน(หรืออุตสาหกรรมต่างๆ) กำไรเป็นของเอกชน ซึ่งเป็นเรื่องภายในของคุณ แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของสังคมนั้นเสียหาย ซึ่งก่อผลกระทบสู่ภายนอก ในปี 2005 ภายหลังที่ บิล คลินตัน ออกมารณรงค์เรื่องโลกเขียว (รักษาสิ่งแวดล้อม) สถิติจากWorld Resources  ระบุว่า สหรัฐฯพี่ใหญ่เป็นคนปล่อยCo2สูงสุดปีละ 5.7 พันล้านตัน อันดับ 2 คือจีน 3.4 พันล้านตัน อันดับ 3 คือ รัสเซีย 1.5 พันล้านตัน ญี่ปุ่น 1.2 พันล้านตัน อังกฤษ 558 ล้านตัน ส่วนไทย 172 ล้านตัน...