ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

SET : เกมผลประโยชน์ SET - TFEX

ระยะหลังๆตลาดแลดูเหมือนว่า TFEX จะเป็นตลาดหลักสาหรับนักลงทุนโดยเฉพาะรายใหญ่ มากกว่า SET ซึ่งเป็นตลาด Spot ซะแล้ว....ตามหลักการและทฤษฎีการลงทุน Futureจะเคลื่อนไหวตามสินทรัพย์อ้างอิงซึ่งเรียกว่า Spot ในที่นี้ก็คือหุ้นในตลาด SET ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ควรจะเป็นไปตามนั้น...แต่...ความเป็นจริงสาหรับการลงทุนในตลาดบ้านเราคล้ายกับว่า SET วิ่งตาม TFEX มากกว่า...เหตุผลที่ผมต้องเรียนเช่นนั้น ก็คือ

1)Futureในตลาด TFEX มีอัตรา Leverage (อัตราทด)ของเงินลงทุนมากกว่า 10 เท่า จึงทาให้อานาจของเงินลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลและแน่นอน กาไร/ขาดทุนก็มีอัตราทดตามนั้นด้วยเช่นกัน

2)Long หรือ Short ได้อย่างสะดวก โดยเฉพาะฝั่งขายไม่ต้องผ่านธุรกรรม SBL (ยืมหุ้น)ให้ยุ่งยากเสียเวลา

และ3) สาคัญมาก....วันไหนที่ผู้เล่นรายใหญ่เก็งทิศทาง FUTURE สวนทางกับปัจจัยพื้นฐานหรือภาวะตลาดโลก ตลาด SPOT ก็จะไม่วิ่งไปในทิศทางที่ทาให้ผู้เล่นรายใหญ่ขาดทุนเด็ดขาด ทั้งๆที่ข้อมูลนั้นจะส่งผลต่อกาไรต่อ บ.จดทะเบียนนั้นโดยตรง.... ตัวอย่างเช่น วันจันทร์ ผู้เล่นรายใหญ่=นายF ทาการ Long Set50Futureไว้เป็นจานวนมาก วันรุ่งขึ้น=วันอังคาร แม้นราคาน้ามันและ/หรือตลาดทุนทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างมีนัยยะสาคัญที่จะทาให้ SET ปรับตัวลงได้โดยประมาณ 1-2% อย่างสบายๆ จากข้อมูลนี้ นายF เดาทิศทางFutureผิดชัดเจน แต่เนื่องจากนาย F ถือหุ้นใน SET ปริมาณมาก และถือเงินสดไว้เยอะเช่นกันเมื่อเปรียบเทียบกับ นักลงทุนอื่นๆในตลาดโดยเฉพาะนาย R(retail) ดังนั้นนาย F จะไม่นาหุ้นออกมาขาย และหากนาย R ขายออกมาซึ่งก็คงจะเป็นปริมาณไม่มากเท่าไรนัก นาย Fก็จะรับซื้อเอาไว้ สุดท้ายปิดตลาดหุ้นตัวนั้นและ/หรือ SET ก็จะปรับตัวลดลงนิดหน่อยแค่พอเป็นธรรมเนียม ให้ชาวโลกพอมองเห็นได้ว่าเอ่อ...เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานและตลาดโลก..... ผลสรุปออกมาวันนั้น นายF ก็จะไม่ขาดทุนหรือขาดทุนจาก Future นิดหน่อย เพราะเท่าที่สังเกตุนายFมาตลอด แลดูจะหวงแหนผลประโยชน์จาก Futureอย่างมากเพราะเนื่องจากเหตุผลตามข้อ1) ในเรื่อง Leverage เป็นสาคัญครับ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หากตลาดทุนเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานจริง นักเศรษฐศาสตร์ที่ร่าเรียนวิชากันมาอย่างพวกผม(แถมมีพื้นฐาน บัญชีอีกตะหาก) ก็รวยกันไปทุกคนแล้ว ไม่ต้องมานั่งทางานรับใช้ท่านหรอกครับ อิอิ

รักกันขอความกรุณาอย่า Forwardเลยนะครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Mar...

ภาวะหุ้นและทอง 2-7-10

ทอง : รายงานการใช้สิทธิเคลมการว่างงานในสหรัฐพุ่งสูงขึ้นเป็นทวีคูณ จาก 13000 เป็น 472000 ทำให้เงิน $ อ่อนยวบ และตามปัจจัยพื้นฐานนี้ อันที่จริงเท่าที่คำนวณน่าจะทำให้ทองคำบวกขึ้นไปประมาณ + 20 $ ได้ครับ แต่เหตุการณ์ที่เป็นบวกเช่นนี้กลับถูกแรงขายอย่างหนัก นำโดย SPDR แต่ก็ขายเพียงแค่ 1.22 ตันเท่านั้น ผสมโรง Follow by กองทุนทองคำต่างๆก็ขายออกมาตามกันทำให้ทองคำร่วงไปถึง 1195 ถือว่ารุนแรงมาก เมื่อเทียบ จาก ปริมาณขายที่ดูไม่ค่อยจะมากเท่าไรนัก ผมตื่นเช้ามาโดยหวังว่าน่าจะ Rebound กลับไปที่ 1215 ได้สบายๆแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ขณะที่เขียนเช้านี้อยู่ที่ระดับ 1202 เท่านั้น ปัจจัยทางเทคนิคที่เราเคยใช้เจ้า SMA 21 วันทำกำไรมา 3-4 รอบนั้นเป็นอันต้องลืมไปก่อนแล้วมาหาจุดสังเกตุกันใหม่ ตอนนี้น่าจะดูที่แนวรับ EMA (E=exponential) 75 วัน ซึ่งให้แนวรับที่ 1194 อันเป็นจุดที่ราคาลงมาทดสอบครั้งนึงแล้วไม่หลุดนั่นเองครับ รายงาน จาก สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าคนจะนำเงิน จาก การขายทองเพื่อไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลเนื่อง จาก ความผันผวนทางเศรษฐกิจ .... อ้าว....ตกลงทองไม่ใช่ Save Haven แล้วหรือ ก็ว่า...

Carbon credit ,ไม่ใช่เรื่องใหม่ มาอ่าน เข้าใจกันง่ายๆดีกว่า

"ผลกำไรของเอกชน เป็นของเอกชนเจ้านั้นๆ แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นั่นเป็นของสังคมโดยรวม" การทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไร แต่การดำเนินงานนั้นอาจจะส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมเป็นผลลบสู่สังคม หรือทำให้สังคมขาดทุน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิต  เช่น การผลิตรถยนต์นั้น ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการปล่อย Co2 ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกได้ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก หรือเรียกว่า greenhouse effect  ....นี่เป็นต้นทุนทางสังคม Benefit-cost เราเรียกการทำให้สังคมเสียหายนี้ว่า Negative externalities แปลเป็นไทยแบบภาษาพูดง่ายๆ ก็คือ การประกอบธุรกิจเพื่อหวังผลกำไรของเอกชน(หรืออุตสาหกรรมต่างๆ) กำไรเป็นของเอกชน ซึ่งเป็นเรื่องภายในของคุณ แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของสังคมนั้นเสียหาย ซึ่งก่อผลกระทบสู่ภายนอก ในปี 2005 ภายหลังที่ บิล คลินตัน ออกมารณรงค์เรื่องโลกเขียว (รักษาสิ่งแวดล้อม) สถิติจากWorld Resources  ระบุว่า สหรัฐฯพี่ใหญ่เป็นคนปล่อยCo2สูงสุดปีละ 5.7 พันล้านตัน อันดับ 2 คือจีน 3.4 พันล้านตัน อันดับ 3 คือ รัสเซีย 1.5 พันล้านตัน ญี่ปุ่น 1.2 พันล้านตัน อังกฤษ 558 ล้านตัน ส่วนไทย 172 ล้านตัน...