ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ภาวะหุ้นและทอง 8-6-2010

(ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เขียนเพราะรถติดต้อนรับเปิดเทอม ยังไงจะพยายามให้มากกว่านี้ครับ)

ทอง : $ ที่แข็งค่ามากขึ้นๆทุกๆวันไม่ใช่เพราะ USA มีสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ปัจจัยหรือดัชนีที่ประกาศออกมาจะยังคงแสดงให้เราเห็นขยะใต้พรมUSAอยู่เรื่อยๆ แต่ $ index แข็งค่าขึ้นมาเพราะโดยเปรียบเทียบกับเงินยูโรที่มีค่าสัมพันธ์ถ่วงน้ำหนักถึงกว่า 50% ,เงินยูโรนั้นอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วเพราะปัญหาหนี้สินในทวีปยุโรปโดยเฉพาะกรีซ...............ประเด็นที่ราคาทองขึ้นมาในช่วงWeek นี้ไม่ใช่เพราะยูโรแย่ เพราะหากยูโรแย่จะไปทำให้ $ แข็งและจะส่งผลให้ราคาทองลงในที่สุด [ Euro ลง $ index ขึ้น Gold ลง ] นี่เป็นการอธิบายแบบปัจจัยพื้นฐาน .......แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ดีมีหลายคนบอกว่ายูโรแย่ทองจึงขึ้น จริงๆนั้นจะต้องบอกว่า เพราะความไม่แน่นอนในสภาพเศรษฐกิจ ในตลาดหุ้น และตราสารหนี้ ของประเทศต่างๆด้วยความกลัวในความไม่แน่นอนนั้น คนจึงหาแหล่งพักเงินที่สามารถให้ผลตอบแทนและให้ความมั่นใจที่จะไม่สูญเสียเงินต้น รวมถึงป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ แหล่งพักเงินที่ว่านี้หากมีจริงก็ควรเรียกว่าแหล่งพักเงินชั้นดี หรือแหล่งพักเงินชั้นเทพ [Save Haven]ก็ตามแต่ ..........ช่วงนี้ความเห็นของคนส่วนใหญ่ในโลกในความเข้าใจผมSave Havenนี้ก็คือ ทองคำนั่นเอง......สรุปในช่วงนี้ประเด็นที่ราคาทองคำขึ้นมาแรงเพราะแรงซื้อล้วนๆหรือแรงซื้อแบบเทพ Haven-Buying ทั้งๆที่พิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานแล้วน่าจะลงมากกว่า พอมีแรงซื้อเข้ามามากๆอารมณ์นักลงทุนจะกลายเป็นโลภเพราะมี กำไรจากผลต่างราคา Capital Gain เป็นเครื่องล่อใจ................ ดังนั้นกลยุทธ์สำหรับทองคำในช่วงนี้ผมแอบดีใจที่ทองขึ้น เพราะไม่เคยแนะนำให้ short ทุกคนมีกำไรกัน จะManage ผลกำไรยังไงอันนี้ต้องควบคุมGreed ของตัวเองและดูสภาพความเป็นจริง เพราะในช่วงสั้นๆ $ อาจมีอ่อนตัวให้ราคาทองคำขึ้นได้ต่อ แต่ตองชั่งน้ำหนักกับการ Take profit ของกองทุนในช่วงกลางคืนนั้นเป็นความเสี่ยงขณะเรานอนหลับหรือตลาดบ้านเราปิดทำการอยู่ เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากๆนักลงทุนในทองคำที่มีประสบการณ์น่าจะเข้าใจในประเด็นนี้ได้ดีครับ

SET ต้องบอกว่าเล่นยากมากๆเพราะวิ่งมาเป็นตัว W ในกรอบ 720-800 ลักษณะ W มันเป็นลักษณะออกSideway ดังนั้นโอกาสการทำกำไรเรียกว่า 50/50 .....ผมบอกตั้งแต่ต้นปีเรื่องกลุ่มอาหาร ในประเด็นโลกร้อน และเอลนินโญ่ จะส่งผลบวกต่อกลุ่มอาหารบ้านเราอย่างมาก บางคนเก่งมากบอกว่าถ้าดีก็น่าจะลงทุนในตัวกลางๆหรือเล็กๆเพราะกำไรน่าจะก้าวกระโดดีกว่าตัวใหญ่อย่างCPF บ้างก็ไปลงทุน STA หรือ CFRESH ก็กำไรกันมากมายกว่า 100%ทีเดียวนะครับ ............... ราคาหุ้นในบ้านเราโดยรวมหรือค่า PE-SET ถือว่าไม่แพงประมาณ 11 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนประมาณ 27เท่าณระดับสูงสุดปีก่อนSETอยทูี่ 758.55 อย่างนั้นก็ดีเราจะซื้อหุ้นแบบเทียบบรรยัดไตรยางคไ์ ม่ได้ ต้องดูแนวโน้มตลาดเป็นสำคัญด้วย เพราะค่า PE ที่สูงไม่ได้หมายความว่าหุ้นแพงอย่างเดียว แต่มีอักนัยยะคือคนให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนด้วยครับ

เก็งกำไร TMB CIMBT / สะสม ADVANC (3.9g) / รอเด้งสำหรับ PTT KBANK BANPU เพราะถูกนำมาShortSELL เยอะครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Margina

กระบวนการ(process) สำคัญกว่า ผลลัพธ์(output)

ฝากถึงน้องๆที่เรียนหรือทำงานสายการตลาด หรืองานใดที่มีเป้าหมาย(goal)เป็นสำคัญ รวมถึงท่านผู้บริหาร.... อย่าได้ไปสนใจผลลัพธ์[output] เป้าหมายหรือคะแนนที่ได้ มากจนเกินไป หลายครั้งที่ผลลัพธ์นั้นเป็นปัจจัยที่เราไม่อาจควบคุมได้ หรือต้องใช้โชคช่วย(ดวง) แต่ถ้าเรามีการทำงานหรือมีกระบวนการทำงาน(PROCESS)ที่ดี ...แม้ว่าผลลัพธ์วันนี้ยังไม่ดี จะขอให้เชื่อมั่น และมั่นใจ ในประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานที่ดี และมีคุณภาพ ว่าสักวันหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ดีจะต้องตามมา อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่หากบางท่านมีกระบวนการที่ไม่ดี แต่ดันโชคช่วยมีผลงานที่ดี ก็อย่าได้เบาใจ จะขอให้ จงระมัดระวัง ว่าผลลัพธ์หรือลูกค้าที่ดีนั้น จะอยู่กับท่านได้ไม่นาน หรืออาจจะไม่มีอีกต่อไปก็เป็นได้ เพราะว่าดวงที่ดี จะไม่มาช่วยท่านอยู่บ่อยๆหรอก สรุปคือ ... "กระบวนการดี ผลลัพธ์ดีแน่ กระบวนการไม่ดี ผลลัพธ์ไม่แน่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่าบ้าผลลัพธ์มากจนเกินไป สิ่งสำคัญคือการพัฒนาการทำงาน ไม่ใช่ทำทุกทางเพื่อความสำเร็จ สำเร็จแล้วมิใช่เอาแต่ทำบุญหวังโชค หากต้องพัฒนาตนให้ก้าวต่อไปด้วย จึงจะมั่นคง" ปล.ต่อยอดความคิดจ

Ben Bernanke : พี่เหม่ง

Ben Bernanke เป็นบุคคลที่ผมชอบเขียนล้อเลียนขำขำ โดยเรียกว่า"พี่เหม่ง" ... เบนันเก้เป็นประธานFedที่รับไม้ต่อจากนายอลัน กรีนสแปน ซึ่งดำรงตำแหน่งเกือบ 20ปี บุคคลที่นักธุรกิจชาวUsกล่าวยกย่องถึงขนาดที่ว่าเป็นเทวดามาโปรด เพราะสามารถทำให้เศรษฐกิจus เติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด อย่างไรก็ดีไม่มีอะไรจะฝืนธรรมชาติได้ การโตอย่างต่อเนื่องมันต้องมีจุดย่อตัวบ้าง แต่ในขณะนั้นเศรษฐกิจus เติบโต เติบโต เติบโต จากมาตรการของนายกรีนสแปน ที่สำคัญก็คือการลดอัตราดอกเบี้ย เมื่อโตอย่างไม่หยุดพัก ก็เหมือนฟองสบู่ลอยล่องรอวันแตก จนกระทั่งพี่เหม่งของผมเข้ามารับช่วงต่อ ฟองสบู่ก็แตกโพล๊ะ พอดิบพอดี -_-" พี่เหม่งของผมก็เลยรับความซวยนี้ไปเต็มๆ ...อย่างไรก็ดีไม้เด็ดของเฮียอย่างQe ถือเป็นการคิดนอกกรอบเพื่อการแก้วิกฤติแบบนึกไม่ถึงเลยทีเดียว จึงทำให้ในปัจจุบันUs สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตนั้นมาได้ด้วยเงินร้อนๆจากQe 2557ม.ค. ,เฮียกำลังจะหมดวาระ โดยมีแคนดิเดตเช่น ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส  และ เจเน็ต เยลเลน ที่จะเข้ามารับช่วงต่อ ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อชื่นชมเฮียแกจริงๆครับ คงคิดถึงไม่น้อยเลยอะ ..... T-