ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สรุปกระแสข่าว 10-3-11

ช่วงนี้ข่าวสารเยอะมากเกินไปทั้งข่าวจริง กระทั่งข่าวหลอก ที่ปล่อยออกมา(จากใครบางคน)เพื่อบังคับทิศทางตลาดให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ จึงทำให้ตลาดอ่อนไหวเกินไป ผันผวนเกินไป เพราะมีผลกระทบรุนแรงกับตลาดได้ทั้งนั้น สุดท้ายจึงยากเกินไปที่จะเข้าใจ 


อย่างวันนี้ SET ปิดตลาดปรับบวกขึ้นในช่วงท้ายตลาดได้ด้วยข่าวลือ ลิเบีย  ทั้งๆที่ตลาดยุโรปไม่สนข่าวลือนี้(หรือไม่มี)สักหน่อย แต่ตลาดยุโรปกลับแดงโร่ ตามข่าวจริงที่ Moody ออกมา Downgrade Debt rating ประเทศ Spain 

อย่างไรก็ตามช่วงบ่าย SET เขียวสวนตลาดโลก แต่ช่วงดึกตลาดโลกแดงหมด ด้วยข่าว Moody ส่วนในสถาณการณ์ในประเทศลิเบีย เปลี่ยนแปลงได้ทุกนาที จนถูกนำมาปั่นตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน อาหาร ฯลฯ ได้อย่างมีนัยยะมาก 

สุดท้ายแล้วสถาณการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร ราคาของทุกอย่าง เช่นหุ้น หรือน้ำมัน เมื่อมันถูกซื้อมากจนเกินไป ( Over bought)หรือปั่นมากจนเกินไป ก็น่าขายทิ้ง โดยเฉพาะราคาน้ำมันในตอนนี้ แบบไม่ต้องสนปัจจัยพื้นฐานก็ได้ อยู่ดี

ปล.ที่จริงเคยเขียนเรื่อง Price's discount everything ไว้ http://goodnum.blogspot.com/2011/02/prices-discount-everything.html โดยให้ดูที่ราคาและแนวโน้ม เพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องสนใจกระแสข่าวมาก  แต่ก็จะมีนักลงทุนหลายคนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงแบบกระโดดข้ามวัน (Gap risk) ได้ โดยเฉพาะตลาดทองคำที่คงทำได้เพียงนั่งมองราคาผันผวนในตอนกลางคืนปริบๆเท่านั้น ดังนั้นแนวโน้มที่เราดูกันมันแค่บอกได้ว่ามีโอกาสไปทางนั้นต่อในทิศทางเดิม แต่ไม่ได้บอกว่าพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร ดังนั้นหากมีข่าวสารที่มีนัยยะมากๆออกมาจึงต้องรับรู้ไว้เพื่อบริหาร และ/หรือ จำกัดความเสี่ยงทันทีครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Margina

กระบวนการ(process) สำคัญกว่า ผลลัพธ์(output)

ฝากถึงน้องๆที่เรียนหรือทำงานสายการตลาด หรืองานใดที่มีเป้าหมาย(goal)เป็นสำคัญ รวมถึงท่านผู้บริหาร.... อย่าได้ไปสนใจผลลัพธ์[output] เป้าหมายหรือคะแนนที่ได้ มากจนเกินไป หลายครั้งที่ผลลัพธ์นั้นเป็นปัจจัยที่เราไม่อาจควบคุมได้ หรือต้องใช้โชคช่วย(ดวง) แต่ถ้าเรามีการทำงานหรือมีกระบวนการทำงาน(PROCESS)ที่ดี ...แม้ว่าผลลัพธ์วันนี้ยังไม่ดี จะขอให้เชื่อมั่น และมั่นใจ ในประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานที่ดี และมีคุณภาพ ว่าสักวันหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ดีจะต้องตามมา อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่หากบางท่านมีกระบวนการที่ไม่ดี แต่ดันโชคช่วยมีผลงานที่ดี ก็อย่าได้เบาใจ จะขอให้ จงระมัดระวัง ว่าผลลัพธ์หรือลูกค้าที่ดีนั้น จะอยู่กับท่านได้ไม่นาน หรืออาจจะไม่มีอีกต่อไปก็เป็นได้ เพราะว่าดวงที่ดี จะไม่มาช่วยท่านอยู่บ่อยๆหรอก สรุปคือ ... "กระบวนการดี ผลลัพธ์ดีแน่ กระบวนการไม่ดี ผลลัพธ์ไม่แน่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่าบ้าผลลัพธ์มากจนเกินไป สิ่งสำคัญคือการพัฒนาการทำงาน ไม่ใช่ทำทุกทางเพื่อความสำเร็จ สำเร็จแล้วมิใช่เอาแต่ทำบุญหวังโชค หากต้องพัฒนาตนให้ก้าวต่อไปด้วย จึงจะมั่นคง" ปล.ต่อยอดความคิดจ

My Hero

ผมเคยได้ดูภาพยนต์ที่ดีมากๆเรื่องหนึ่งชื่อว่า Batman-The Dark Knight และได้สรุปความลักษณะของฮีโร่คนนี้ได้ว่าเป็นบุคคลประเภท ปิดทองหลังพระ (ตามพระราชดำรัสของในหลวงที่เคารพยิ่งของเรา ที่หวังให้คนไทยเป็นคนดีให้ได้เช่นนี้บ้าง)กล่าวคือ เป็นผู้ซึ่งมีความต้องการช่วยเหลือผู้คนและขจัดความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆรวมทั้งชื่อเสียงและความมีหน้ามีตาในสังคม อีกทั้งยังได้ลงทุนลงแรงมากมายเพื่อให้สำเร็จตามประสงค์ของตนที่อยากได้สังคมที่ดีขึ้นกว่าที่เป็น ในชีวิตจริงนั้นคงเป็นไปได้ยากที่ในสังคมหนึ่งๆ หรือแม้แต่โลกทั้งใบกลมๆนี้จะมีคนเฉกเช่น Batman เพราะการทำดีในสังคมที่มีแต่อวิชชาหรือความโลภเป็นที่ตั้งนั้น กลับเป็นเรื่องยากที่ผู้ต้องการทำความดีที่อาจต้องมีการเสียสละเกิดขึ้น ซึ่งการเสียสละนี้จะเป็นต้นทุนหรือสิ่งที่เป็นผลเสียต่อคนที่ตั้งใจทำความดีนั้นให้ล้มเลิกความคิดไป หากแต่สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังจากสื่อต่างๆนั้นการทำความดีต่างๆที่พบเจอ 90%หรือมากกว่านั้นเสียอีก คนที่ทำดีผู้นั้นเขาทราบดีว่าเขาจะได้ออกสื่อหรือแม้แต่เป็นผู้เชิญชวนสื่อให้มาทำข่าวในเรื่องที่เขาทำความดีด้วยตัวเอง ซึ่งพบ