ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ภาวะหุ้นและทอง 30-09-10 (ค่ำ 29-9)

Marginal Thinking

SET : ช่วงนี้บรรยากาศใน SET ดูเหมือนจะคล้ายๆในช่วงเดือนก.ค.ที่ SET อยู่ในระดับ 840 ในช่วงนั้นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์รวมทั้งสถาบันในประเทศต่างมองว่า SET น่าจะปรับตัวลงเนื่องจากวิ่งขึ้นมาแรงในระยะเวลาอันสั้นจากแถวๆ 720 ต่างทยอยขายออกมา ซึ่งสวนทางกับทิศทางกระแสเงินที่ไหลเข้ามาใน SET บ้านเราจึงทำให้ SET วิ่งขึ้นมาแถวๆ 970จุดได้ในเมื่อวาน (คนที่ซื้อกองทุนหุ้นรบกวนเช็คด้วยว่ากองทุนหุ้นท่านมีกำไรตามตลาดไหม?)

ต้องทวนความเข้าใจกันอีกทีว่าเมื่อเงินทุนไหลเข้าประเทศไทยจะทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ตีความเป็นการกระทำได้ดังนี้คือ เช่น นักลงทุนจากประเทศ USA ต้องการเข้ามาลงทุนในไทย แต่เขาถือเงิน $ จำต้องเอาเงิน $ เข้ามาแลกเป็นเงิน B เพื่อทำธุรกรรมในไทยได้ ดังนั้นอยู่ดีๆเมื่อเงิน Baht มีคนต้องการแลกมากๆนั่นหมายถึงมีความต้องการซื้อ(Demand)ในเงินบาทมาก ...เมื่อมี Demand มากๆธรรมดาสิ่งๆนั้นราคาย่อมสูงขึ้น ซึ่งในที่นี้ก็คือ ค่าเงินบาทแข็งค่ามากขึ้นนั่นเองครับ (จาก 31 ลงไป 30 usd/thb คือค่าเงินบาทแข็งขึ้นเพราะเราใช้เงินบาทน้อยลงในการเปลี่ยนเป็น usd)

มีคนถามผมว่า อย่างที่ผมเคยเรียนไว้ว่าเมื่อฝรั่งเข้ามาลงทุนในไทยจึงทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ดังนั้นในตอนนี้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นมามากๆแล้ว เงินจากต่างประเทศยังจะเข้ามาอยู่เหรอ ? ...คำถามนี้เป็นคำถามที่เอาไว้พิจารณาซื้อขายหุ้น SET ช่วงนี้ได้ดีที่สุดครับ กล่าวคือ วิธีคิดสำหรับฝรั่งก่อนจะเข้ามาลงทุนในไทยในเรื่องค่าเงินคือ เงินบาทมันจะยังแข็งค่าขึ้นต่ออีกไหม ? นี่คือเป็นวิธีคิดแบบหน่วยเพิ่มสุดท้าย หรือ ราคาล่าสุดที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าไร พูดแบบฝรั่งสั้นๆว่า เป็นวิธีคิดแบบ Marginal ซึ่งเป็นวิธีคิดของนักเศรษฐศาสตร์ขั้นพื้นฐาน .....ดังนั้นเมื่อ ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงไม่ใช้มาตรการยาแรง (Cold turkey) กับค่าเงินบาท เงินบาทก็จะยังแข็งต่อเนื่อง ต่อไปเนื่องจากเงินทุนไหลเข้ามันจะมาด้วยความมั่นใจครับ....แล้วถามต่อว่าจะแข็งไปถึงไหน? คำตอบคือ ต้องเช็คว่าเงินที่เข้าไทยมาในรอบนี้ไปอยู่ที่ไหน ? ที่ชัดเจนคือ ใน SET และพันธบัตร ส่วนจะเป็นการลงทุนทางตรงหรือไม่? (Foreign Direct Investment: FDI) ถ้าเป็น FDI เยอะๆก็จะดีมาก เพราะเงินฝรั่งจะอยู่ในไทยนานกว่าที่จะอยู่ใน SET และbond แต่ผมไม่มีเวลาไปเช็คข้อมูลนะครับว่าเป็นสัดส่วนมากน้อยเพียงใด แต่หวังให้มันเป็นสัดส่วนที่เยอะก็แล้วกันนะ(สาธุ) ...แล้วจะแข็งถึงไหน? ตอบตรงๆคือ จนกว่าเค้าจะขาย หุ้น SET,Bond หรือการลงทุนอื่นๆแล้วเองเงินบาทไปแลกเงินของประเทศเขาแล้วเอากลับบ้านครับ

ปล.หลักวิธีคิดแบบ Marginal อันนี้หลายคนไม่ค่อยเข้าใจนะครับ ตัวอย่าง เช่นหุ้นที่ผมเคยแนะนำ(นานๆที / ปกติจะไม่เขียน) เช่น Banpu 620 และ Pttep 145 (เช็คย้อนหลังได้) ผมเรียนไปว่า ถ้าหุ้นทั้งสองตัวยืนราคานี้ถึงน่าซื้อเพราะมีแนวโน้มจะขึ้นต่อ ขณะนั้น Banpuอยู่ที่ 622 และ Pttep อยู่ที่ 143 ....คนที่เข้าใจหลักคิดนี้ก็จะซื้อ Banpu โดยไม่คำนึงว่า Pttep ที่ 143 มันถูกกว่าราคาที่ผมบอกไว้ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจ(แต่ผมไม่ได้บอกว่าผิดเพราะอาจจะมีวิธีคิดอีกแบบนึงก็ได้)ก็จะเข้าซื้อPttep ที่ 143 แน่นอนเพราะเห็นราคาถูกกว่าที่ให้ไว้ แล้วตอนนี้เป็นยังไงครับ ผลตอบแทนจากหุ้นทั้งสองตัว ณ.ขณะนี้มันผิดกันมากเลยนะครับ ทั้งๆที่ค่าเบต้าก็ไม่ได้ผิดกันมาก

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าบอกแล้วต้องขึ้นทุกตัว แค่เรียนว่า มันมีโอกาสจะขึ้นมากกว่า แต่เมื่อลงทุนไปแล้วราคาก็อาจกลับตัวลงก็ได้ ดังนั้นการกระจายความเสี่ยง (Risk diversification) เป็นสิ่งสำคัญ อย่างไรก็ตามการกระจายความเสี่ยงไม่ใช่การซื้อหุ้นที่จะขึ้นตัวนึง แล้วก็ซื้อหุ้นที่จะลงอีกตัวนึง แบบนี้มันเพี้ยนครับ ...ที่จริงต้องเป็นแบบนี้ = หุ้นที่เราจะซื้อต้องขึ้นทุกตัว แต่จะมีลงบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาของการลงทุน เพียงขอให้ถูกมากกว่าผิด และมีตัวที่สามารถ Let’s profit run ได้ยาวๆก็พอครับ (อย่างนี้ไม่เรียกว่าโลภนะ เรียกว่าฉลาดลงทุนแบบพอเพียงครับ)

ตอนนี้ตลาดเป็นขาขึ้นให้ซื้อตัวใหญ่ๆ แหว่งแหก็ถูกขอให้ High beta หรือวิ่งเร็วๆสักนิดก็เป็นดีเพื่อฉวยโอกาสตอนตลาดขาขึ้น ถ้ามองตลาดเริ่มเอื่อยๆก็ให้ลงทุนใน CPF / ADVANC ครับ

ทองคำ : เป็นเรื่องเดียวกันกับเงินทุนไหลออก ความกังวลในภาคธุรกิจโดยเฉพาะในภาคการเงินฝั่ง ยุโรป ญี่ปุ่น และ USA เงินก็เลยไหลสู่ทอง และตลาดหุ้นต่างๆที่โลกที่ฝรั่งเค้าพิจารณาแล้วมี Domino effect น้อย..... ค่าเงินบาทแข็งมาก Spot ก็ขึ้นมาก นี่ถ้าค่าเงินบาทนิ่งๆ พวกเราที่ Holdกันมาตั้งแต่ 1160 กำไรเกิน 100% แน่นอนครับ(GFนะ) อย่างไรก็ตามตอนนี้ทะลุ 1300 แล้วทยอยขายออกมาบ้างก็ดี ขึ้นบ้างก็ช่างมัน แต่ถ้าหลุด 1300 แล้วยืนไม่ได้ ออกมาดูมันสักพัก ก็ได้ ไม่ต้องกลัว Marketing จะเหงา แต่ถ้ายืนได้อาจให้เวลาสัก 2-5 วันทำการก็ซื้อตามได้เลยครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Mar...

ภาวะหุ้นและทอง 2-7-10

ทอง : รายงานการใช้สิทธิเคลมการว่างงานในสหรัฐพุ่งสูงขึ้นเป็นทวีคูณ จาก 13000 เป็น 472000 ทำให้เงิน $ อ่อนยวบ และตามปัจจัยพื้นฐานนี้ อันที่จริงเท่าที่คำนวณน่าจะทำให้ทองคำบวกขึ้นไปประมาณ + 20 $ ได้ครับ แต่เหตุการณ์ที่เป็นบวกเช่นนี้กลับถูกแรงขายอย่างหนัก นำโดย SPDR แต่ก็ขายเพียงแค่ 1.22 ตันเท่านั้น ผสมโรง Follow by กองทุนทองคำต่างๆก็ขายออกมาตามกันทำให้ทองคำร่วงไปถึง 1195 ถือว่ารุนแรงมาก เมื่อเทียบ จาก ปริมาณขายที่ดูไม่ค่อยจะมากเท่าไรนัก ผมตื่นเช้ามาโดยหวังว่าน่าจะ Rebound กลับไปที่ 1215 ได้สบายๆแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ขณะที่เขียนเช้านี้อยู่ที่ระดับ 1202 เท่านั้น ปัจจัยทางเทคนิคที่เราเคยใช้เจ้า SMA 21 วันทำกำไรมา 3-4 รอบนั้นเป็นอันต้องลืมไปก่อนแล้วมาหาจุดสังเกตุกันใหม่ ตอนนี้น่าจะดูที่แนวรับ EMA (E=exponential) 75 วัน ซึ่งให้แนวรับที่ 1194 อันเป็นจุดที่ราคาลงมาทดสอบครั้งนึงแล้วไม่หลุดนั่นเองครับ รายงาน จาก สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าคนจะนำเงิน จาก การขายทองเพื่อไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลเนื่อง จาก ความผันผวนทางเศรษฐกิจ .... อ้าว....ตกลงทองไม่ใช่ Save Haven แล้วหรือ ก็ว่า...

Carbon credit ,ไม่ใช่เรื่องใหม่ มาอ่าน เข้าใจกันง่ายๆดีกว่า

"ผลกำไรของเอกชน เป็นของเอกชนเจ้านั้นๆ แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นั่นเป็นของสังคมโดยรวม" การทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไร แต่การดำเนินงานนั้นอาจจะส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมเป็นผลลบสู่สังคม หรือทำให้สังคมขาดทุน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิต  เช่น การผลิตรถยนต์นั้น ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการปล่อย Co2 ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกได้ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก หรือเรียกว่า greenhouse effect  ....นี่เป็นต้นทุนทางสังคม Benefit-cost เราเรียกการทำให้สังคมเสียหายนี้ว่า Negative externalities แปลเป็นไทยแบบภาษาพูดง่ายๆ ก็คือ การประกอบธุรกิจเพื่อหวังผลกำไรของเอกชน(หรืออุตสาหกรรมต่างๆ) กำไรเป็นของเอกชน ซึ่งเป็นเรื่องภายในของคุณ แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของสังคมนั้นเสียหาย ซึ่งก่อผลกระทบสู่ภายนอก ในปี 2005 ภายหลังที่ บิล คลินตัน ออกมารณรงค์เรื่องโลกเขียว (รักษาสิ่งแวดล้อม) สถิติจากWorld Resources  ระบุว่า สหรัฐฯพี่ใหญ่เป็นคนปล่อยCo2สูงสุดปีละ 5.7 พันล้านตัน อันดับ 2 คือจีน 3.4 พันล้านตัน อันดับ 3 คือ รัสเซีย 1.5 พันล้านตัน ญี่ปุ่น 1.2 พันล้านตัน อังกฤษ 558 ล้านตัน ส่วนไทย 172 ล้านตัน...