ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ภาวะหุ้นและทอง 08-09-10(ค่ำ 070910)

ช่วงนี้งานเอกสารเยอะ ผมจำเป็นต้องทำงานหลักของผมก่อน จึงจะมีเวลามาเขียนให้ท่านได้อ่านกัน มีเรียกร้องกันเข้ามาพอสมควรหลังจากหายไปนาน (ยังไงก็โทรมาก็ได้นี่นาครับ)

ทอง : ราคาที่ 1243แข็งอะคับ มองสั้นๆอาจจะเป็นแนวรับแบบ double , triple หรือ multiple bottom ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่ามันแข็ง ราคาทองจึงไม่ค่อยลงจากระดับนี้ ถึงลงไปหลุดลงไปให้ตกใจกันบ้าง แต่ก็มีซื้อกลับจนมายืนเหนือ 1243 ได้ทุกครั้ง บางครั้งนึกเล่นๆเราอาจจะโชคดีก็ได้นะ (ซึ่งก็โชคดีจริงๆเพราะยังไม่เคยแนะนำให้ short) ที่ราคาทองในช่วงเวลาที่เราซื้อขายกันมันมายืนตรงนี้ได้ ก็เลยมีคนมาแซวผมว่า เอ๊ะ ! ถ้าเราเทรดได้ 24 ชั่วโมง พอถึงตอนที่ราคามันหลุดแนวรับ คุณหนุ่มก็คงแนะนำให้ cut loss แล้วสิ ผมก็เลยตอบว่า “อาจจะ...” ที่บอกว่าอาจจะก็คือ ทองคำเป็นตลาดของนักลงทุนทั่วโลกที่เข้ามาซื้อขายกัน ข้อมูลข่าวสาร เทคนิคการวิเคราะห์ต่างๆก็ใช้ร่วมกัน แทบจะตำราเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือ ศิลปะ และวิจารณญาณของท่านเอง เพราะบางครั้งการที่ทุกคนรู้เท่ากัน มีจุดซื้อ-จุดขายที่เดียวกัน มันก็ง่ายสำหรับกลุ่มคนหรือกองทุนที่เขี้ยวๆทั่วโลก ที่จะปั่นหัวท่านได้ (แต่ปั่นหัวเราไม่ได้เพราะเราโชคดี ตื่นตอนเค้านอน) เช่นถ้าผมเป็นนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่พอที่จะซื้อขายแล้ว จะส่งผลกระทบต่อราคาได้มาก ผมก็อาจจะแกล้งทำให้ราคามันเป็น false signal หรือหลุดนิดๆเพื่อให้พวกคุณส่วนใหญ่ที่สายตาเหมือนกันพร้อมใจกันเทขายออกมา เพื่อที่ผมจะได้ไปรับซื้อเอาราคาถูกๆ ตรงใต้บริเวณจุดขายนั่นละ แต่ผมก็ต้องมั่นใจก่อนนะว่า พลังเงินผมเพียงพอที่จะรับแรงขายนี้เอาไว้ได้....อย่างไรก็ตาม เขียนอย่างนี้ก็เหมือนเขียนออกมาแบบว่า เขียนทีไรก็ถูกทุกที เพราะเขียนหลังเหตุการณ์นี่นา(ก็ใช่น่ะสิคับ อิอิ) งั้นต้องให้ไปถามนักลงทุนที่โทรมาหาผมแล้วกัน ช่วยเป็นพยานให้หน่อยว่าไม่ได้เปลี่ยนคำพูดนะคับ ฮ่าๆ

มองในแง่ปัจจัยพื้นฐาน ความกังวลเรื่องสภาพเศรษฐกิจใน Euro , USA ที่ยังๆไม่หมดไป นาทีนี้ใครจะถือ bond USA กันละะครับ เค้าเอาไว้แค่เก็งกำไรเท่านั้น ขนาดประเทศเจ้าหนี้เค้ายังไม่อยากถือเลย คิดดูก็แล้วกันว่าจะซื้ออะไรดี ถ้าซื้อน้ำมันแล้วสภาพเศรษฐกิจไม่ดีแล้วคนจะมีเงินมาจ่ายค่าน้ำมันแพงๆเหรอ (นอกจากไปยึดเอานะ) ซื้อเป็น Safe Havenชั้นหนึ่งเป็น ทองคำ ดีกว่าไหมครับ

SET :

  • ผมกังวลเรื่องการเข้ามาเก็งกำไร (Speculation) มากกว่าการลงทุน (Investment)
  • ช่วงนี้ปริมาณการ Short Future ของนักลงทุนสถาบันค่อนข้างเยอะและต่อเนื่อง
  • สลับกลุ่มเล่น จน set มาได้สูงขนาดนี้ เพราะเงินทุนไหลเข้าอย่างจริงจัง ตัวไหนไม่ค่อยมีstoryแม้ปัจจัยพื้นฐานดี ก็เลยถูกเอามา short Sell เพื่อให้เงินที่เข้ามามีอะไรทำ (งงมั้ยครับ..แปลว่าเงินถ้ามันอยู่เฉยๆก็ไม่ได้เงินน่ะสิ)
  • ราคาน้ำมันดิบยืน 75 ไม่ได้ PTT จะไปได้ถึง 350 เหรอ (ถ้ามาถึงจริงๆจะขอกู้เงินมา short sell)
  • ถึงแม้เงินทุนจะไหลเข้า SET เนื่องจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจดูแข็งแรงกว่า Euro แต่ถ้าฝั่ง West ไม่ดี แล้วเราจะดี(มากเกิน)ไปก็ไม่ค่อยถูกนะ เพราะบ้านเรามีรายได้หลักๆก็มาจากการส่งออก
  • PTTEP และ BANPU อาจเป็นตัวนำตลาดต่อไป (ระดับราคาสำคัญ PTTEP 145 ,BANPU 620)
  • การเมือง ทั้ง Red และ Yellow แลดูจะอ่อนแรงลงไปเพราะ Blue เล่นการเมืองเก่งมาก อาศัยตีกิน แบบว่าไม่เอา Red หรือ Yellow มาทางผมสิไม่มีปัญหา ทั้งๆที่ทั้งหมดนี้ก็เป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น แลดูเหมือนน้ำนิ่งๆเอาอยู่ดีนะ ก็ให้ระวังเรื่องแก้ กม.คนที่เคยทำผิดหลังปรองดอง อาจจะมี Orange ออกมาก็ได้นะครับ เหอ เหอ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Margina

กระบวนการ(process) สำคัญกว่า ผลลัพธ์(output)

ฝากถึงน้องๆที่เรียนหรือทำงานสายการตลาด หรืองานใดที่มีเป้าหมาย(goal)เป็นสำคัญ รวมถึงท่านผู้บริหาร.... อย่าได้ไปสนใจผลลัพธ์[output] เป้าหมายหรือคะแนนที่ได้ มากจนเกินไป หลายครั้งที่ผลลัพธ์นั้นเป็นปัจจัยที่เราไม่อาจควบคุมได้ หรือต้องใช้โชคช่วย(ดวง) แต่ถ้าเรามีการทำงานหรือมีกระบวนการทำงาน(PROCESS)ที่ดี ...แม้ว่าผลลัพธ์วันนี้ยังไม่ดี จะขอให้เชื่อมั่น และมั่นใจ ในประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานที่ดี และมีคุณภาพ ว่าสักวันหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ดีจะต้องตามมา อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่หากบางท่านมีกระบวนการที่ไม่ดี แต่ดันโชคช่วยมีผลงานที่ดี ก็อย่าได้เบาใจ จะขอให้ จงระมัดระวัง ว่าผลลัพธ์หรือลูกค้าที่ดีนั้น จะอยู่กับท่านได้ไม่นาน หรืออาจจะไม่มีอีกต่อไปก็เป็นได้ เพราะว่าดวงที่ดี จะไม่มาช่วยท่านอยู่บ่อยๆหรอก สรุปคือ ... "กระบวนการดี ผลลัพธ์ดีแน่ กระบวนการไม่ดี ผลลัพธ์ไม่แน่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่าบ้าผลลัพธ์มากจนเกินไป สิ่งสำคัญคือการพัฒนาการทำงาน ไม่ใช่ทำทุกทางเพื่อความสำเร็จ สำเร็จแล้วมิใช่เอาแต่ทำบุญหวังโชค หากต้องพัฒนาตนให้ก้าวต่อไปด้วย จึงจะมั่นคง" ปล.ต่อยอดความคิดจ

Ben Bernanke : พี่เหม่ง

Ben Bernanke เป็นบุคคลที่ผมชอบเขียนล้อเลียนขำขำ โดยเรียกว่า"พี่เหม่ง" ... เบนันเก้เป็นประธานFedที่รับไม้ต่อจากนายอลัน กรีนสแปน ซึ่งดำรงตำแหน่งเกือบ 20ปี บุคคลที่นักธุรกิจชาวUsกล่าวยกย่องถึงขนาดที่ว่าเป็นเทวดามาโปรด เพราะสามารถทำให้เศรษฐกิจus เติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด อย่างไรก็ดีไม่มีอะไรจะฝืนธรรมชาติได้ การโตอย่างต่อเนื่องมันต้องมีจุดย่อตัวบ้าง แต่ในขณะนั้นเศรษฐกิจus เติบโต เติบโต เติบโต จากมาตรการของนายกรีนสแปน ที่สำคัญก็คือการลดอัตราดอกเบี้ย เมื่อโตอย่างไม่หยุดพัก ก็เหมือนฟองสบู่ลอยล่องรอวันแตก จนกระทั่งพี่เหม่งของผมเข้ามารับช่วงต่อ ฟองสบู่ก็แตกโพล๊ะ พอดิบพอดี -_-" พี่เหม่งของผมก็เลยรับความซวยนี้ไปเต็มๆ ...อย่างไรก็ดีไม้เด็ดของเฮียอย่างQe ถือเป็นการคิดนอกกรอบเพื่อการแก้วิกฤติแบบนึกไม่ถึงเลยทีเดียว จึงทำให้ในปัจจุบันUs สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตนั้นมาได้ด้วยเงินร้อนๆจากQe 2557ม.ค. ,เฮียกำลังจะหมดวาระ โดยมีแคนดิเดตเช่น ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส  และ เจเน็ต เยลเลน ที่จะเข้ามารับช่วงต่อ ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อชื่นชมเฮียแกจริงๆครับ คงคิดถึงไม่น้อยเลยอะ ..... T-