"ผลกำไรของเอกชน เป็นของเอกชนเจ้านั้นๆ
แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นั่นเป็นของสังคมโดยรวม"
การทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไร แต่การดำเนินงานนั้นอาจจะส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมเป็นผลลบสู่สังคม หรือทำให้สังคมขาดทุน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิต เช่น การผลิตรถยนต์นั้น ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการปล่อย Co2 ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกได้ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก หรือเรียกว่า greenhouse effect ....นี่เป็นต้นทุนทางสังคม Benefit-cost เราเรียกการทำให้สังคมเสียหายนี้ว่า Negative externalities แปลเป็นไทยแบบภาษาพูดง่ายๆ ก็คือ การประกอบธุรกิจเพื่อหวังผลกำไรของเอกชน(หรืออุตสาหกรรมต่างๆ) กำไรเป็นของเอกชน ซึ่งเป็นเรื่องภายในของคุณ แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของสังคมนั้นเสียหาย ซึ่งก่อผลกระทบสู่ภายนอก
ในปี 2005 ภายหลังที่ บิล คลินตัน ออกมารณรงค์เรื่องโลกเขียว (รักษาสิ่งแวดล้อม) สถิติจากWorld Resources ระบุว่า
สหรัฐฯพี่ใหญ่เป็นคนปล่อยCo2สูงสุดปีละ 5.7 พันล้านตัน
อันดับ 2 คือจีน 3.4 พันล้านตัน
อันดับ 3 คือ รัสเซีย 1.5 พันล้านตัน
ญี่ปุ่น 1.2 พันล้านตัน อังกฤษ 558 ล้านตัน
ส่วนไทย 172 ล้านตัน
อย่างไรก็ตามการประกอบธุรกิจนั้นยังคงต้องดำเนินกันต่อไป เพราะเป็นเรื่องของทุนนิยม เรื่องของปากท้อง ดังนั้นผลเสียนี้ ก็ยังจะคงเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัวกันต่อไปไม่จบสิ้น และก็คงจะยิ่งมากๆขึ้นๆไปเรื่อย ตามกระแสของบริโภคนิยม
Carbon Credit เป็นมาตรการที่เกิดขึ้นเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้สังคมเกิดความสมดุลมากยิ่งขึ้น คำว่าสมดุลในที่นี้ ก็คือ เอกชนจะยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ภายในขอบเขตที่มีNegative externalities หรือ ส่งCo2 ที่ปล่อยสู่สังคมภายในปริมาณที่เหมาะสม
ส่วนสังคมที่ไม่ได้รับผลกำไรอะไรจากเอกชน แต่จำต้องรับผลNegative externalities เริ่มแรกนั้นก็ต้องยอมรับกันก่อนว่า มันเป็นกิจกรรมธุรกิจที่ต้องดำเนินกันต่อไป หากผลลบนั้นมีปริมาณ Co2 ที่เหมาะสม สังคมซึ่งตัวแทนก็คือภาครัฐ จะได้รับเงินจากการคำนวณ Carbon Credit ตีมูลค่าออกมาเป็นยอดเท่าไรๆ เสมือนกับเป็นการคำนวณภาษีที่เรียกเก็บจากเอกชนคนที่ทำให้เกิดNegative externalities ....หากปริมาณ Co2 เกินขอบเขตในระดับที่เหมาะสม เรทในการเรียกเก็บ Carbon credit ก็จะเป็นอัตราเร่งตามความเสียหายที่สังคมได้รับ และภาษีนั้นก็จะนำมาเยียวยาสิ่งแวดล้อมหรือใช้ในการพัฒนาสังคมอีกทีหนึ่ง
ในเมื่อในเรื่องนี้มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งที่คนที่ไม่ดีพึงกระทำ ก็คือ การโกง
โกงใคร ก็คือ โกงสังคม
เงินเข้ากระเป๋า ตัวเอง , Co2 เข้าสู่สังคม(โลก)
ที่จริงแล้วเอกชนก็มีผลประโยชน์ทางอ้อม(Indirect Benefit) จาก สังคม จากสิ่งแวดล้อม จากสุขภาพของพนักงาน ...ฯลฯ
แต่ก็อย่างว่าเถอะครับ พวกเจ้าของโรงงานหรือผู้บริหารที่เป็นคนปล่อยCo2สู่สังคมในระแวกนั้น ไม่มีทางที่จะมีบ้าน หรือที่พักอาศัยในบริเวณนั้นอย่างแน่นอน
แม้ในจุดที่สมดุล เราควรสร้างผลประโยชน์ร่วม (Co-benefit) เพื่อสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเชื่อว่าทุกคนล้วนต้องการสิ่งแวดล้อมหรืออากาศที่บริสุทธิ์
ดังนั้น ถึงแม้จะมีมาตรการcarbon credit ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ทำได้แค่เยียวยา และเชื่อว่า สังคมก็ยังคงจะแย่ลงๆเพราะมีConflict of interestกันอยู่
ต้นเหตุของปัญหาของสังคมจริงๆก็อาจจะเป็นเรื่องที่ว่า "เรารักกันมากพอมั้ย"
เราพอจะรักผลประโยชน์ของสังคมมากกว่าผลประโยชน์ตัวเองได้มั้ย
เราสามารถให้ได้มากกว่าที่สังคมจะสูญเสียได้หรือเปล่า,
ถ้าเราได้ผลประโยชน์จากสังคมมากพอแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ปล่อยCo2ก็ตาม แต่ก็อาจจะเป็นผู้ที่ยั่วยุมอมเมาเยาวชนในทางวัตถุนิยม หรือกามารมณ์อยู่ก็ได้ แล้วเราจะแก้ไขปัญหา ปรับปรุง ลด เลิก และ/หรือคืนสู่สังคมได้อย่างไร
.....เช่นนี้ หลายปัญหาในโลกอันวุ่นวายก็น่าจะคลี่คลายด้วยดีในที่สุด ด้วยความรัก รวมถึงปรารถนาดีที่มีให้กันนะครับ
ปล.โลกสวยไปเปล่าเนี่ย อิอิ
ปล.2เวลาน้อย ไม่ได้เรียบเรียง คำพูดไม่สวย เขียนเรื่อยๆแล้วpost ไม่ได้อัพนานมากกก..ขอสักนิด
^^
ความคิดเห็น