ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ภาวะทองคำช่วงนี้กับเงินเฟ้อ [Gold spot vs Inflation]

ที่จริงวันนี้เป็นวันหยุด แต่ผมก็สมควรเขียนให้ท่านได้รับทราบ เพราะหลายท่านคงอยากรู้ว่าเหตุใดทองคำจึงขึ้นแรง

สำหรับทางปัจจัยพื้นฐานก็ยังคงเป็นเรื่องความกังวลกับปัญหาเดิมๆที่ยังคงส่งผลบวกต่อราคาทองคำต่อไป คือ 1.ความวุ่นวายในตะวันออกกลาง 2.ปัญหาหนี้สินยุโรป และ3.ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ............ประเด็น1.และ2.จะเป็นปัญหาทางการเงินที่วุ่นวายตามมาคือความวุ่นวายในสกุลเงิน(currency) ส่วนปัญหาที่3.อันนี้ตัวร้าย สำหรับท่านที่ไม่ค่อยสนใจทางการเงินนัก คงไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไร เงินเฟ้อนี่ละตัวแสบมากๆในปัญหาทางเศรษฐกิจ หลายท่านคงไม่รู้ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยแท้ที่จริงไม่ได้มีภารกิจมากมายอะไรนัก นอกจากหลักๆคอยควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมนี่ละ เงินเฟ้อแสบขนาดไหนให้ท่านลองคิดดูว่าสมัยก่อนเงิน 20 บาทท่านสามารถซื้ออาหารรับประทานได้กี่มื้อ...แล้วตอนนี้ละ?   เงิน 1 ล้านบาทสมัยก่อนท่านสามารถสร้างหลักประกันอะไรให้กับชีวิตได้บ้าง ...แล้วตอนนี้ละ?  “ในเมื่อเรามีเงินมากขึ้นแต่กลับจนลงเรื่อยๆ ผลสรุปก็คือ เงิน  (Money)คือ สินทรัพย์ (asset)ที่ท่านถือครองไว้แล้วมีแต่จะจนลงไปเรื่อยๆ จุดนี้หลายท่านน่าจะมีคำตอบในใจได้แล้วว่า ถือทองคำนี่ละสู้เงินเฟ้อได้ดีนัก(hedging risk)เพราะมันขึ้นไปพร้อมๆกัน หรือพูดง่ายๆว่า ก๋วยเตี๋ยวจะแพงขึ้นกี่ % เราผู้ถือทองคำจะได้ upside gain เป็น % ที่พอๆกับค่าก๋วยเตี๋ยวที่แพงขึ้น หรือเปรียบเทียบก๋วยเตี๋ยวได้กับของอุปโภค บริโภคทุกอย่างที่แพงขึ้นครับ

ส่วนในทางด้านเทคนิคแล้วเคยแจ้งให้ทราบแล้วว่าในระยะสั้นมี Divergence จริงส่วนระยะยาวไม่มี (ขอบคุณคุณลุงโฉลกอีกครั้ง) ดังนั้นที่ราคาทองคำร่วงลงมาก่อนหน้าถือเป็น correction ธรรมดา ในภาพใหญ่จึงไม่ได้หมายความว่าจบรอบครับ วันนี้แถมกราฟ USD index มาให้ดูว่า ด้วยอานิสงค์ทิศทาง USD index เป็นแบบนี้ ทองคำจะไม่ขึ้นได้ยังไง แต่ที่น่าแปลกใจคือ DOW ขึ้นเอาๆนี่สิครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Mar...

ภาวะหุ้นและทอง 2-7-10

ทอง : รายงานการใช้สิทธิเคลมการว่างงานในสหรัฐพุ่งสูงขึ้นเป็นทวีคูณ จาก 13000 เป็น 472000 ทำให้เงิน $ อ่อนยวบ และตามปัจจัยพื้นฐานนี้ อันที่จริงเท่าที่คำนวณน่าจะทำให้ทองคำบวกขึ้นไปประมาณ + 20 $ ได้ครับ แต่เหตุการณ์ที่เป็นบวกเช่นนี้กลับถูกแรงขายอย่างหนัก นำโดย SPDR แต่ก็ขายเพียงแค่ 1.22 ตันเท่านั้น ผสมโรง Follow by กองทุนทองคำต่างๆก็ขายออกมาตามกันทำให้ทองคำร่วงไปถึง 1195 ถือว่ารุนแรงมาก เมื่อเทียบ จาก ปริมาณขายที่ดูไม่ค่อยจะมากเท่าไรนัก ผมตื่นเช้ามาโดยหวังว่าน่าจะ Rebound กลับไปที่ 1215 ได้สบายๆแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ขณะที่เขียนเช้านี้อยู่ที่ระดับ 1202 เท่านั้น ปัจจัยทางเทคนิคที่เราเคยใช้เจ้า SMA 21 วันทำกำไรมา 3-4 รอบนั้นเป็นอันต้องลืมไปก่อนแล้วมาหาจุดสังเกตุกันใหม่ ตอนนี้น่าจะดูที่แนวรับ EMA (E=exponential) 75 วัน ซึ่งให้แนวรับที่ 1194 อันเป็นจุดที่ราคาลงมาทดสอบครั้งนึงแล้วไม่หลุดนั่นเองครับ รายงาน จาก สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าคนจะนำเงิน จาก การขายทองเพื่อไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลเนื่อง จาก ความผันผวนทางเศรษฐกิจ .... อ้าว....ตกลงทองไม่ใช่ Save Haven แล้วหรือ ก็ว่า...

Carbon credit ,ไม่ใช่เรื่องใหม่ มาอ่าน เข้าใจกันง่ายๆดีกว่า

"ผลกำไรของเอกชน เป็นของเอกชนเจ้านั้นๆ แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นั่นเป็นของสังคมโดยรวม" การทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไร แต่การดำเนินงานนั้นอาจจะส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมเป็นผลลบสู่สังคม หรือทำให้สังคมขาดทุน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิต  เช่น การผลิตรถยนต์นั้น ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการปล่อย Co2 ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกได้ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก หรือเรียกว่า greenhouse effect  ....นี่เป็นต้นทุนทางสังคม Benefit-cost เราเรียกการทำให้สังคมเสียหายนี้ว่า Negative externalities แปลเป็นไทยแบบภาษาพูดง่ายๆ ก็คือ การประกอบธุรกิจเพื่อหวังผลกำไรของเอกชน(หรืออุตสาหกรรมต่างๆ) กำไรเป็นของเอกชน ซึ่งเป็นเรื่องภายในของคุณ แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของสังคมนั้นเสียหาย ซึ่งก่อผลกระทบสู่ภายนอก ในปี 2005 ภายหลังที่ บิล คลินตัน ออกมารณรงค์เรื่องโลกเขียว (รักษาสิ่งแวดล้อม) สถิติจากWorld Resources  ระบุว่า สหรัฐฯพี่ใหญ่เป็นคนปล่อยCo2สูงสุดปีละ 5.7 พันล้านตัน อันดับ 2 คือจีน 3.4 พันล้านตัน อันดับ 3 คือ รัสเซีย 1.5 พันล้านตัน ญี่ปุ่น 1.2 พันล้านตัน อังกฤษ 558 ล้านตัน ส่วนไทย 172 ล้านตัน...