ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ภาวะทอง : Gold Future

ทองคำทำขาลง (correction) เกิน 100 $ ทั้งๆที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้ส่งสัญญาณให้ลงได้ถึงขนาดนั้น ก็เป็นที่แน่นอนว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ลงได้มากนั่นคือ การขายจากผู้เล่นรายใหญ่ ( dominant Selling) และคนๆเดียวที่เค้าใจดีเปิดตัวเลขสต๊อกทองคำให้เราดูแถมยังเป็นกองทุนเอกชนที่ถือครองทองคำมากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นพี่บิ๊กแห่งวงการทอง นั่นคือ  SPDR แห่ง us

การเหวี่ยงของราคาแรงๆไม่ว่าทองหรือหุ้นเกิดได้จาก dominant player เท่านั้น เพราะรายย่อยทำไม่ได้ เปรียบเหมือนกับ การเขี้ยวงเส้นฟาง ถ้าเพียงเขวี้ยงน้อยเส้นมันไปไหนไม่ได้ไกล แม้จะใช้คนที่แรงเยอะที่สุดในโลกก็ตาม ไม่อาจทำได้ไกลกว่าแม้เพียงแรงเด็กที่เขวี้ยงมัดเส้นฟางที่รวบมัดมาเป็นตั้งได้

การซื้อขายของ SPDR เริ่มกลับมาให้ทิศทางทองได้ชัดเจนอีกครั้งนึง พูดง่ายๆว่าถ้า SPDR ซื้อต้องขึ้น ถ้าขายก็ต้องลง ที่ผมกล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะเห็นไดว่า SPDR สามารถทำ short covering ได้สำเร็จนั่นคือการขายออกไปก่อนแล้วลงมารับซื้อในราคาที่ต่ำกว่า

สำหรับพวกเราที่เล่น long เป็นหลักและมีหลายคนที่ไม่ได้ Short hedge ไว้ที่ 1360 ก็ต้องขอขอบคุณที่พร้อมใจกันเสี่ยงซื้อในวันที่ทองคำลงมาที่ 1308 เพราะทำให้ต้นทุนเฉลี่ย ณ วันนี้มีกำไรแล้ว  ที่ต้องบอกว่าขอบคุณเพราะก่อนหน้าพวกเราไม่เคยต้องเสี่ยงขนาดนั้น เพราะจะซื้อตอนที่ขึ้นเท่านั้น เรียกได้ว่าตามน้ำขาขึ้นอย่างเดียว การเสี่ยงซื้อในจังหวะขาลงนั้นเปรียบได้เหมือนกับเอาเรือไปขวางทางน้ำเชี่ยว  อย่างไรก็ดีพวกเราก็ไม่ได้เสี่ยงซื้อแบบสะเปะสะปะ เราเสี่ยงด้วยเหตุผลที่ว่า 1.RSI อยู่ในระดับต่ำ  2.ราคาหลุด Bolinger Band ขอบล่างไปมาก 3.มูดดีส์ออกมาส่งสัญญาณว่าลดอันดับเครดิต Bond US ทั้ง สามเหตุผลที่แจ้งจึงทำให้กล้าเสี่ยงซื้อในลักษณะที่ว่า เต็มตีนกันเลยทีเดียวครับ ฮ่าๆ

 วันนี้ราคาทองคำขึ้นมาแรงมากทีเดียว ถ้าชอบสั้นๆอาจขายออกสัก 20% เพื่อรอรับแถวๆ 1345  นั่นคือลองทำ Short covering แบบสั้นๆก็ได้นะครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Margina

กระบวนการ(process) สำคัญกว่า ผลลัพธ์(output)

ฝากถึงน้องๆที่เรียนหรือทำงานสายการตลาด หรืองานใดที่มีเป้าหมาย(goal)เป็นสำคัญ รวมถึงท่านผู้บริหาร.... อย่าได้ไปสนใจผลลัพธ์[output] เป้าหมายหรือคะแนนที่ได้ มากจนเกินไป หลายครั้งที่ผลลัพธ์นั้นเป็นปัจจัยที่เราไม่อาจควบคุมได้ หรือต้องใช้โชคช่วย(ดวง) แต่ถ้าเรามีการทำงานหรือมีกระบวนการทำงาน(PROCESS)ที่ดี ...แม้ว่าผลลัพธ์วันนี้ยังไม่ดี จะขอให้เชื่อมั่น และมั่นใจ ในประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานที่ดี และมีคุณภาพ ว่าสักวันหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ดีจะต้องตามมา อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่หากบางท่านมีกระบวนการที่ไม่ดี แต่ดันโชคช่วยมีผลงานที่ดี ก็อย่าได้เบาใจ จะขอให้ จงระมัดระวัง ว่าผลลัพธ์หรือลูกค้าที่ดีนั้น จะอยู่กับท่านได้ไม่นาน หรืออาจจะไม่มีอีกต่อไปก็เป็นได้ เพราะว่าดวงที่ดี จะไม่มาช่วยท่านอยู่บ่อยๆหรอก สรุปคือ ... "กระบวนการดี ผลลัพธ์ดีแน่ กระบวนการไม่ดี ผลลัพธ์ไม่แน่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่าบ้าผลลัพธ์มากจนเกินไป สิ่งสำคัญคือการพัฒนาการทำงาน ไม่ใช่ทำทุกทางเพื่อความสำเร็จ สำเร็จแล้วมิใช่เอาแต่ทำบุญหวังโชค หากต้องพัฒนาตนให้ก้าวต่อไปด้วย จึงจะมั่นคง" ปล.ต่อยอดความคิดจ

My Hero

ผมเคยได้ดูภาพยนต์ที่ดีมากๆเรื่องหนึ่งชื่อว่า Batman-The Dark Knight และได้สรุปความลักษณะของฮีโร่คนนี้ได้ว่าเป็นบุคคลประเภท ปิดทองหลังพระ (ตามพระราชดำรัสของในหลวงที่เคารพยิ่งของเรา ที่หวังให้คนไทยเป็นคนดีให้ได้เช่นนี้บ้าง)กล่าวคือ เป็นผู้ซึ่งมีความต้องการช่วยเหลือผู้คนและขจัดความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆรวมทั้งชื่อเสียงและความมีหน้ามีตาในสังคม อีกทั้งยังได้ลงทุนลงแรงมากมายเพื่อให้สำเร็จตามประสงค์ของตนที่อยากได้สังคมที่ดีขึ้นกว่าที่เป็น ในชีวิตจริงนั้นคงเป็นไปได้ยากที่ในสังคมหนึ่งๆ หรือแม้แต่โลกทั้งใบกลมๆนี้จะมีคนเฉกเช่น Batman เพราะการทำดีในสังคมที่มีแต่อวิชชาหรือความโลภเป็นที่ตั้งนั้น กลับเป็นเรื่องยากที่ผู้ต้องการทำความดีที่อาจต้องมีการเสียสละเกิดขึ้น ซึ่งการเสียสละนี้จะเป็นต้นทุนหรือสิ่งที่เป็นผลเสียต่อคนที่ตั้งใจทำความดีนั้นให้ล้มเลิกความคิดไป หากแต่สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังจากสื่อต่างๆนั้นการทำความดีต่างๆที่พบเจอ 90%หรือมากกว่านั้นเสียอีก คนที่ทำดีผู้นั้นเขาทราบดีว่าเขาจะได้ออกสื่อหรือแม้แต่เป็นผู้เชิญชวนสื่อให้มาทำข่าวในเรื่องที่เขาทำความดีด้วยตัวเอง ซึ่งพบ