ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

PIIGS





ปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยุโรป ยังคงลุกลามขยายวงต่อเนื่องออกไปคล้ายกับการล้มของโดมิโน หรือเรียกได้ว่าเป็น Domino effect ต้นตอปัญหาหนี้สินที่แท้จริง เกิดจากการทำประชานิยมจากภาครัฐ หวังการขยายการลงทุนจากภาคเอกชนต่างประเทศเพื่อจัดการให้ทรัพยากรถูกแปรเปลี่ยนเป็นความมั่งคั่ง(Wealth)ให้ได้มากที่สุด ท้ายที่สุดแล้วWealthก็ติดลบเพราะต้องกู้เงินออกมาทำโครงการก่อนแต่ก็ไม่สำเร็จ wealth=asset-liabilities ทรัพยากรก็ถูกเร่งใช้ ธรรมชาติเดิมก็เสียหายเสียสมดุล


โลกอยู่ในจุดที่สุ่มเสี่ยงที่สุดเพราะประเทศที่มีปัญหาหนี้ กำลังต้องการเงินมหาศาล พี่ใหญ่(US)เคยทำเป็นตัวอย่างให้ดูในอดีตว่า ขาดเงินก็พิมพ์เงินออกมาก็จบ เค้าทำมันก็ดูง่ายแต่ความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะถ้าเป็นคนอื่นทำบ้างเค้าคงไม่ยอม ...เงิน เงิน เงินที่สะพัดออกมาในยุโรปช่วงนี้ มันช่วยเศรษฐกิจได้จริงเหรอ แท้ที่จริงแล้วเงินเป็นแค่สิ่งสมมติ แรงงาน ทรัพยากรต่างหากที่เป็นของจริง แล้วความละโมบโลภมากที่พวกเขาพยายามขุดเจาะแสวงหาเร่งเอาทรัพยากรธรรมชาติออกมาใช้ให้ได้มากที่สุดเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินในกระเป๋านั้น พวกเขาไม่เคยคำนึงถึงว่าสมดุลหรือทรัพยากรที่มีอยู่จะเสียหายหรือหมดไปเท่าไร พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงคนรุ่นที่สาม รุ่นที่สี่หรือรุ่นต่อๆไปหรอก แค่หวังว่าวันนี้มีเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตามกฎของเศรษฐศาตร์ว่าเอกชนย่อมแสวงหากำไรสูงสุด

ปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยุโรป ที่โลกกำลังจับตามองหลักๆ5ประเทศ หรือเรียกกันว่ากลุ่ม PIIGS หากเขียนว่า pig มันก็คือ หมู (ออกเสียงคล้ายกัน) ผมไม่ได้จะพยายามสื่อว่าประเทศเหล่านี้กินตะกละตะกลามเหมือนหมูหรอกครับ เพราะหมูมันไม่ได้ผิดอะไร และมันก็ไม่ได้โลภขนาดนั้น...

เศรษฐกิจพอเพียงเป็นมากว่าปรัชญาในการพอกินพอใช้(ที่หลายๆคนเข้าใจ) แต่ยังหมายถึงการทำมาเลี้ยงชีพที่อาชีพทั่วไปยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้จริงในการปฏิบัติ เช่น การทำไร่นาสวนผสม ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดอย่างคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุด แถมยังไม่ทำร้ายมัน เท่านี้ ireland(เท่าที่ผมทราบ)ก็ไม่ต้องเสียทั้งเงิน เสียทั้งทรัพยากรธรรมชาติ รวมไปถึงสมดุลของมันด้วย เวลาย้อนกลับไปไม่ได้ปัญหาก็เกิดขึ้นแล้ว คล้ายกับธรรมชาติลงโทษ แต่ก็เอาใจช่วยให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีครับ





กลุ่ม PIIGS ประกอบด้วย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Mar...

ภาวะหุ้นและทอง 2-7-10

ทอง : รายงานการใช้สิทธิเคลมการว่างงานในสหรัฐพุ่งสูงขึ้นเป็นทวีคูณ จาก 13000 เป็น 472000 ทำให้เงิน $ อ่อนยวบ และตามปัจจัยพื้นฐานนี้ อันที่จริงเท่าที่คำนวณน่าจะทำให้ทองคำบวกขึ้นไปประมาณ + 20 $ ได้ครับ แต่เหตุการณ์ที่เป็นบวกเช่นนี้กลับถูกแรงขายอย่างหนัก นำโดย SPDR แต่ก็ขายเพียงแค่ 1.22 ตันเท่านั้น ผสมโรง Follow by กองทุนทองคำต่างๆก็ขายออกมาตามกันทำให้ทองคำร่วงไปถึง 1195 ถือว่ารุนแรงมาก เมื่อเทียบ จาก ปริมาณขายที่ดูไม่ค่อยจะมากเท่าไรนัก ผมตื่นเช้ามาโดยหวังว่าน่าจะ Rebound กลับไปที่ 1215 ได้สบายๆแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ขณะที่เขียนเช้านี้อยู่ที่ระดับ 1202 เท่านั้น ปัจจัยทางเทคนิคที่เราเคยใช้เจ้า SMA 21 วันทำกำไรมา 3-4 รอบนั้นเป็นอันต้องลืมไปก่อนแล้วมาหาจุดสังเกตุกันใหม่ ตอนนี้น่าจะดูที่แนวรับ EMA (E=exponential) 75 วัน ซึ่งให้แนวรับที่ 1194 อันเป็นจุดที่ราคาลงมาทดสอบครั้งนึงแล้วไม่หลุดนั่นเองครับ รายงาน จาก สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าคนจะนำเงิน จาก การขายทองเพื่อไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลเนื่อง จาก ความผันผวนทางเศรษฐกิจ .... อ้าว....ตกลงทองไม่ใช่ Save Haven แล้วหรือ ก็ว่า...

Carbon credit ,ไม่ใช่เรื่องใหม่ มาอ่าน เข้าใจกันง่ายๆดีกว่า

"ผลกำไรของเอกชน เป็นของเอกชนเจ้านั้นๆ แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นั่นเป็นของสังคมโดยรวม" การทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไร แต่การดำเนินงานนั้นอาจจะส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมเป็นผลลบสู่สังคม หรือทำให้สังคมขาดทุน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิต  เช่น การผลิตรถยนต์นั้น ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการปล่อย Co2 ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกได้ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก หรือเรียกว่า greenhouse effect  ....นี่เป็นต้นทุนทางสังคม Benefit-cost เราเรียกการทำให้สังคมเสียหายนี้ว่า Negative externalities แปลเป็นไทยแบบภาษาพูดง่ายๆ ก็คือ การประกอบธุรกิจเพื่อหวังผลกำไรของเอกชน(หรืออุตสาหกรรมต่างๆ) กำไรเป็นของเอกชน ซึ่งเป็นเรื่องภายในของคุณ แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของสังคมนั้นเสียหาย ซึ่งก่อผลกระทบสู่ภายนอก ในปี 2005 ภายหลังที่ บิล คลินตัน ออกมารณรงค์เรื่องโลกเขียว (รักษาสิ่งแวดล้อม) สถิติจากWorld Resources  ระบุว่า สหรัฐฯพี่ใหญ่เป็นคนปล่อยCo2สูงสุดปีละ 5.7 พันล้านตัน อันดับ 2 คือจีน 3.4 พันล้านตัน อันดับ 3 คือ รัสเซีย 1.5 พันล้านตัน ญี่ปุ่น 1.2 พันล้านตัน อังกฤษ 558 ล้านตัน ส่วนไทย 172 ล้านตัน...