ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Sell on Fact

Sell on Fact

พวกที่เก่งการวิเคราะห์แบบปัจจัยพื้นฐาน(Value Investor)เท่านั้นถึงจะมีโอกาสซื้อของดีราคาถูกได้ กล่าวคือ สามารถคาดการณ์ได้แม่นยำว่าราคาหุ้นที่กำลังซื้อขายกันอยู่ณ.ปัจจุบันนั้นราคาต่ำกว่ามูลค่า เนื่องจากเขาได้ประเมิณแล้วว่าหุ้นบ.นั้นจะทำกำไรได้สูงในอนาคต กลุ่มคนพวกนี้จะสามารถซื้อหุ้นได้ถูกสุดๆ (ในช่วงเวลา wave1ของ Elliot wave) แม้ว่าหุ้นจะลงไปมากขนาดไหนพวกเขาก็ไม่กลัวแม้แต่น้อยที่จะช้อนซื้อ และจะไม่มีการ Cut loss เลยแม้แต่นิด เพราะเขารู้แน่ๆว่ามันจะขึ้นจากข้อมูลที่มีอยู่ในมือ (โดยที่ไม่ได้คิดไปเอง) แต่เอาเข้าจริงๆแล้วพวกกลุ่มคนที่เป็นเซียนด้านปัจจัยพื้นฐานอย่างแม่นยำและเฉียบคมนั้นก็คือ กลุ่มคนที่รู้ข้อมูลภายใน(Insider)นั่นเองครับ.........คำพูดที่เราฟังแล้วรู้สึกแปลกๆก็คือ Sell on Fact ใช่มั้ยครับ? ตอนผมเริ่มลงทุนใหม่ๆ(จบบัญชีมาด้วย ประมาณว่าดูงบการเงินพอเป็น) ก็ งงๆ ว่าเมื่อมีข่าวดี ผลกำไรเติบโตตามคาดการณ์แล้วทำไมจึงถูกเทขาย เบื้องหลังคำพูดนี้ก็คือ เหล่า Insider เก็บหุ้นกันมาก่อนหน้าแล้ว จึงเริ่มปล่อยข่าวให้สัมภาษณ์ บทวิเคราะห์,ข่าว นสพ.ต่างๆเริ่มประชาสัมพันธ์ให้นักลงทุนทั่วไปทราบจึงได้เข้ามาซื้อตอนที่ราคามันอิ่มตัว (wave5) หรือตอนที่เค้าเทขายเพื่อให้พวกคุณมารับซื้อต่อจากเค้า(ออกของ)นั่นละครับ

ที่เขียนออกมาเช่นนี้ไม่ได้บอกให้กลัว แต่เรียนความจริงให้ท่านทราบว่าในตลาดหุ้นมันก็เป็นเช่นนี้ละครับ แต่ในบ้านเราไม่เห็น Insider โดนจับซักคน สงสัยจะเพราะว่าบ้านเราเป็นตลาดหุ้นที่มีธรรมาภิบาลสูงสุดในโลกกระมังครับ

ปล.ผมเองไม่ได้เป็นเซียนFundamental เพราะผมคิดว่าผมเองไม่มีทางรู้ข้อมูลเหล่านั้น (แม้ว่าจะอยู่ใกล้ชิดตลาดทุน หวังว่าคงไม่ได้ทำให้ท่านผิดหวัง แต่ผมพูดด้วยความจริง) ถึงผมจะรู้ก็คือ หลังจากที่เค้าเก็บหุ้นมาก่อนหน้าละ ดังนั้นวิธีที่ได้กำไรแน่นอนในตลาดหุ้น ทั้งๆที่เราไม่มีข้อมูลเหล่านั้น คือ ...ตามน้ำ...หรือซื้อหุ้นขณะขาขึ้นเท่านั้น และมีจุด break profitและCutloss เสมอๆ (เผื่อมันแค่ Rallyขึ้นมาแค่ประเดี๋ยวประด๋าว) ส่วนหุ้นที่มันกำลังลงผมว่าผมไม่เอาด้วยเพราะว่าคงไม่มีข้อมูลเด็ดๆว่าหุ้นจะ Turnaround ขึ้นมาได้มั้ยและเมื่อไร คงจะพอรู้ได้เลาๆก็ตอนที่มันเริ่มๆขึ้นเท่านั้นละครับ

ปล.2 สำหรับท่านที่ชอบตามข้อมูลเรื่องหุ้นและนำมาตัดสินใจในการลงทุนก็ไม่ต้องท้อใจ เพราะท่านเองก็สามารถวิเคราะห์และคัดหุ้นเด็ดๆได้จากสามัญสำนึกและตรรกง่ายๆด้วยตัวท่านเอง เช่น ช่วงที่มีการชุมนุมและมีการปิดถนนเพื่อให้หยุดการชุมนุม> ทำให้คนไม่ออกจากบ้านกันเพราะกลัวอันตราย>ทำให้มีการตุนอาหารแห้งกันมากขึ้น>ซื้อมาม่า> ผลบวกกับหุ้น TF ขายได้มากเป็นประวัติการณ์ ราคาTF จึงวิ่งจาก 800สู่1200 บาท / หรือ น้ำท่วม>จำต้องมีการซ่อมแซมถนนหลายสาย>ใช้ยางมะตอย>TASCO เป็นต้นครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Margina

กระบวนการ(process) สำคัญกว่า ผลลัพธ์(output)

ฝากถึงน้องๆที่เรียนหรือทำงานสายการตลาด หรืองานใดที่มีเป้าหมาย(goal)เป็นสำคัญ รวมถึงท่านผู้บริหาร.... อย่าได้ไปสนใจผลลัพธ์[output] เป้าหมายหรือคะแนนที่ได้ มากจนเกินไป หลายครั้งที่ผลลัพธ์นั้นเป็นปัจจัยที่เราไม่อาจควบคุมได้ หรือต้องใช้โชคช่วย(ดวง) แต่ถ้าเรามีการทำงานหรือมีกระบวนการทำงาน(PROCESS)ที่ดี ...แม้ว่าผลลัพธ์วันนี้ยังไม่ดี จะขอให้เชื่อมั่น และมั่นใจ ในประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานที่ดี และมีคุณภาพ ว่าสักวันหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ดีจะต้องตามมา อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่หากบางท่านมีกระบวนการที่ไม่ดี แต่ดันโชคช่วยมีผลงานที่ดี ก็อย่าได้เบาใจ จะขอให้ จงระมัดระวัง ว่าผลลัพธ์หรือลูกค้าที่ดีนั้น จะอยู่กับท่านได้ไม่นาน หรืออาจจะไม่มีอีกต่อไปก็เป็นได้ เพราะว่าดวงที่ดี จะไม่มาช่วยท่านอยู่บ่อยๆหรอก สรุปคือ ... "กระบวนการดี ผลลัพธ์ดีแน่ กระบวนการไม่ดี ผลลัพธ์ไม่แน่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่าบ้าผลลัพธ์มากจนเกินไป สิ่งสำคัญคือการพัฒนาการทำงาน ไม่ใช่ทำทุกทางเพื่อความสำเร็จ สำเร็จแล้วมิใช่เอาแต่ทำบุญหวังโชค หากต้องพัฒนาตนให้ก้าวต่อไปด้วย จึงจะมั่นคง" ปล.ต่อยอดความคิดจ

My Hero

ผมเคยได้ดูภาพยนต์ที่ดีมากๆเรื่องหนึ่งชื่อว่า Batman-The Dark Knight และได้สรุปความลักษณะของฮีโร่คนนี้ได้ว่าเป็นบุคคลประเภท ปิดทองหลังพระ (ตามพระราชดำรัสของในหลวงที่เคารพยิ่งของเรา ที่หวังให้คนไทยเป็นคนดีให้ได้เช่นนี้บ้าง)กล่าวคือ เป็นผู้ซึ่งมีความต้องการช่วยเหลือผู้คนและขจัดความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆรวมทั้งชื่อเสียงและความมีหน้ามีตาในสังคม อีกทั้งยังได้ลงทุนลงแรงมากมายเพื่อให้สำเร็จตามประสงค์ของตนที่อยากได้สังคมที่ดีขึ้นกว่าที่เป็น ในชีวิตจริงนั้นคงเป็นไปได้ยากที่ในสังคมหนึ่งๆ หรือแม้แต่โลกทั้งใบกลมๆนี้จะมีคนเฉกเช่น Batman เพราะการทำดีในสังคมที่มีแต่อวิชชาหรือความโลภเป็นที่ตั้งนั้น กลับเป็นเรื่องยากที่ผู้ต้องการทำความดีที่อาจต้องมีการเสียสละเกิดขึ้น ซึ่งการเสียสละนี้จะเป็นต้นทุนหรือสิ่งที่เป็นผลเสียต่อคนที่ตั้งใจทำความดีนั้นให้ล้มเลิกความคิดไป หากแต่สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังจากสื่อต่างๆนั้นการทำความดีต่างๆที่พบเจอ 90%หรือมากกว่านั้นเสียอีก คนที่ทำดีผู้นั้นเขาทราบดีว่าเขาจะได้ออกสื่อหรือแม้แต่เป็นผู้เชิญชวนสื่อให้มาทำข่าวในเรื่องที่เขาทำความดีด้วยตัวเอง ซึ่งพบ