ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ภาวะหุ้นและทอง 17-3-2010

ทองคำ : สามารถกลับขึ้นมายืนได้ในระดับ สูงกว่า1120 อีกครั้ง เนื่องจากเงิน $ ที่อ่อนค่าลงอย่างมากเพราะ FEDได้คงอัตราดอกเบี้ยในระดับเดิมเป็น นับสัญญาณที่ดีในการ rally ของราคาทองอีกครั้ง เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจสหรัฐผมว่าน่าจะมีอะไรที่ส่งกลิ่นไม่ดีอยู่ใต้พรมอีกหลายประการ อย่างไรก็ดีราคาพุ่งทะยานขึ้นมาสูงมากทีเดียวจนมาแตะที่ระดับ 1130 แล้วมีแรงเทขายออกมา เป็นผมถ้ายังสามารถขายได้ในคืนนั้น(แต่ตลาดปิดและเรานอนอย)ู่ ผมก็จะขาย เพราะผมจะไม่ยอมให้ SPDR ชิงขายก่อนผมแน่ อย่างที่เคยเรียนไว้ว่าการเข้าซื้อทองคำของ SPDR ในล็อทหลังสุดมีต้นทุนประมาณ 1130....มองย้อนกลับมาดูราคาทองคำในประเทศอาจขนึ้ ไม่แรงอย่างที่ทองคำโลก ขึ้นเพราะเงินบาทแข็งค่าอย่างมากเมื่อคำนวณเป็นราคาทองไทยแล้วทำให้ราคาทองคำไทยขึ้นน้อยกว่าที่เงินบาทที่ระดับคงเดิมหรืออ่อนค่าครับ

SET : เงิน $ ที่อ่อนค่า ส่งผลต่อสินค้าอุปโภคบริโภค (commodities) ราคาสูงขึ้น ผมจะให้ความสำคัญกับน้ำมันมากๆเพราะกลุ่มบริษัทน้ำมันในประเทศไทยมี สัดส่วนในตลาดบ้านเราสูงมากๆ .ระดับราคาน้ำมันปัจจุบัน บวกขึ้นมาจากเมื่อวาน 2$กว่าๆ ก็อาจทำให้SET บ้านเราบวกต่อในวันนี้ก็ได้ครับ

ที่บอกว่าก็ได้ ไม่ใช่แน่ๆ เป็นเพราะว่าช่วงนี้ใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานกับบ้านเราไม่ค่อยได้ เพราะช่วง 1-3สัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าขึ้นมาแรงโดยไม่สนใจความเสี่ยงใดๆทั้งสิ้น เช่น ราคาน้ำมันปรับลดลง ตลาดเพื่อนบ้านลง มีการยิงกัน แต่ SET บ้านเราก็ Rally ตลอดนับตั้งแต่วันที่ 8 กพ. ที่ระดับ 680 จุด .วันนี้ 752 จุดแล้วครับ......มีคนให้ข้อสังเกตที่เงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามามากในช่วงนี้ อาจเกี่ยวข้องกับการที่คุณกรณอ์ อก road show เพื่อดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเพื่อให้เข้ามาลงทุนในไทย และต้องการเงินเพิ่มทุนในการบินไทย ดังนั้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ ก็อาจมีเงินจากต่างประเทศที่พูดคุยกันได้เข้า มาซื้อเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้ก่อน

มีข้อสังเกตุสำหรับการซื้อขายเมื่อวานคือเมื่อวานนี้ต่างชาติยังซื้อต่อเนื่อง ส่วนกองทุนซื้อหนัก ส่วนในตลาดFuture ฝรั่งเริ่ม Short แต่ก็เป็นปริมาณไม่มาก น่าสนใจทีเดียวนะครับว่าจะลากกันไปถึงเท่าไร อย่างที่เคยเรียนไว้ว่านักลงทุนใน SET แบ่งเป็น 4 ประเภท ผมชอบให้กองทุนซื้อมากที่สุด เพราะน่าจะมีแนวโน้มการถือหุ้นเพื่อการลงทุนมากที่สุดครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Margina

กระบวนการ(process) สำคัญกว่า ผลลัพธ์(output)

ฝากถึงน้องๆที่เรียนหรือทำงานสายการตลาด หรืองานใดที่มีเป้าหมาย(goal)เป็นสำคัญ รวมถึงท่านผู้บริหาร.... อย่าได้ไปสนใจผลลัพธ์[output] เป้าหมายหรือคะแนนที่ได้ มากจนเกินไป หลายครั้งที่ผลลัพธ์นั้นเป็นปัจจัยที่เราไม่อาจควบคุมได้ หรือต้องใช้โชคช่วย(ดวง) แต่ถ้าเรามีการทำงานหรือมีกระบวนการทำงาน(PROCESS)ที่ดี ...แม้ว่าผลลัพธ์วันนี้ยังไม่ดี จะขอให้เชื่อมั่น และมั่นใจ ในประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานที่ดี และมีคุณภาพ ว่าสักวันหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ดีจะต้องตามมา อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่หากบางท่านมีกระบวนการที่ไม่ดี แต่ดันโชคช่วยมีผลงานที่ดี ก็อย่าได้เบาใจ จะขอให้ จงระมัดระวัง ว่าผลลัพธ์หรือลูกค้าที่ดีนั้น จะอยู่กับท่านได้ไม่นาน หรืออาจจะไม่มีอีกต่อไปก็เป็นได้ เพราะว่าดวงที่ดี จะไม่มาช่วยท่านอยู่บ่อยๆหรอก สรุปคือ ... "กระบวนการดี ผลลัพธ์ดีแน่ กระบวนการไม่ดี ผลลัพธ์ไม่แน่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่าบ้าผลลัพธ์มากจนเกินไป สิ่งสำคัญคือการพัฒนาการทำงาน ไม่ใช่ทำทุกทางเพื่อความสำเร็จ สำเร็จแล้วมิใช่เอาแต่ทำบุญหวังโชค หากต้องพัฒนาตนให้ก้าวต่อไปด้วย จึงจะมั่นคง" ปล.ต่อยอดความคิดจ

My Hero

ผมเคยได้ดูภาพยนต์ที่ดีมากๆเรื่องหนึ่งชื่อว่า Batman-The Dark Knight และได้สรุปความลักษณะของฮีโร่คนนี้ได้ว่าเป็นบุคคลประเภท ปิดทองหลังพระ (ตามพระราชดำรัสของในหลวงที่เคารพยิ่งของเรา ที่หวังให้คนไทยเป็นคนดีให้ได้เช่นนี้บ้าง)กล่าวคือ เป็นผู้ซึ่งมีความต้องการช่วยเหลือผู้คนและขจัดความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆรวมทั้งชื่อเสียงและความมีหน้ามีตาในสังคม อีกทั้งยังได้ลงทุนลงแรงมากมายเพื่อให้สำเร็จตามประสงค์ของตนที่อยากได้สังคมที่ดีขึ้นกว่าที่เป็น ในชีวิตจริงนั้นคงเป็นไปได้ยากที่ในสังคมหนึ่งๆ หรือแม้แต่โลกทั้งใบกลมๆนี้จะมีคนเฉกเช่น Batman เพราะการทำดีในสังคมที่มีแต่อวิชชาหรือความโลภเป็นที่ตั้งนั้น กลับเป็นเรื่องยากที่ผู้ต้องการทำความดีที่อาจต้องมีการเสียสละเกิดขึ้น ซึ่งการเสียสละนี้จะเป็นต้นทุนหรือสิ่งที่เป็นผลเสียต่อคนที่ตั้งใจทำความดีนั้นให้ล้มเลิกความคิดไป หากแต่สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังจากสื่อต่างๆนั้นการทำความดีต่างๆที่พบเจอ 90%หรือมากกว่านั้นเสียอีก คนที่ทำดีผู้นั้นเขาทราบดีว่าเขาจะได้ออกสื่อหรือแม้แต่เป็นผู้เชิญชวนสื่อให้มาทำข่าวในเรื่องที่เขาทำความดีด้วยตัวเอง ซึ่งพบ