ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ซื้อถูก-ขายแพง...แบบมีวินัย

กฏเหล็กนักลงทุน ทำได้ง่ายๆ แบบชิวๆ (1) โดย จารุทัศน์

กราฟแสดงเส้นราคา แนวรับ.แนวต้าน PTT (ที่มา efinancethai.com)

ใช่แล้ว ! นักลงทุนผู้ลงทุนในหุ้นทุกคนจักต้องซื้อถูกขายแพงจึงจะได้กำไรน่ะสิ ไม่ต้องบอกก็รู้ ...แต่ว่า ซื้อถูก-ขายแพง...แบบมีวินัย เนี่ย! จังหวะไหน ทำยังไง คำตอบก็คือ ความมีวินัยในการซื้อถูก คือ ให้ดูจังหวะซื้อที่บริเวณแนวรับ และความมีวินัยในการขายแพงก็คือ ให้ดูจังหวะขายที่บริเวณแนวต้าน แค่นี้เองครับ (ห้ามทำสวนนะครับ เพราะว่า หากทำสวนตามที่บอกก็ คือ ขาดทุนน่ะสิ)

· $ ซื้อที่แนวรับ : หมายถึง ซื้อตอนที่..

o ตอนที่..เส้นราคาสามารถตัดขึ้นเส้นค่าเฉลี่ยซึ่งจากเดิมที่เป็นแนวต้านขึ้นมา(ตัดขึ้นซื้อ:จังหวะซื้อ) เส้นแนวต้านเดิมก็จะกลายเป็นแนวรับใหม่(เส้นเดียวกันนั่นละครับ)

o ตอนที่..เส้นราคาตกลงมาที่เส้นแนวรับและสามารถยืนได้และมี Volume(ปริมาณการซื้อขาย) สนับสนุนการยืนอย่างแข็งแรงที่ราคานี้มากพอควร จะเป็นการยืนยันความปลอดภัยของราคาที่เราซื้อได้ในระดับหนึ่ง หากราคาไม่สามารถยืนเส้นค่าเฉลี่ยได้และตัดลงมาเป็นจังหวะที่หากมีหุ้นอยู่ก็ควรขายออกครับ (ตัดลงขาย:จังหวะขาย)

· $ ขายที่แนวต้าน :

o ขณะที่พิจารณาหาก(ยัง)มีเส้นค่าเฉลี่ยอยู่เหนือเส้นราคา นี่ละครับคือเส้นแนวต้าน ถ้าไม่มีเส้นค่าเฉลี่ยอยู่เหนือเส้นราคาก็ให้ทำแนวต้านเองโดยการวาดเส้นSlopจากHigh เดิมลากยาวๆจากซ้ายมาขวาที่ปัจจุบัน หรือหากไม่อยากวาดก็เอาแค่เพียงใช้ราคา High เดิมเป็นราคาแนวต้านก็พอได้ ( สามารถประยุกต์ใช้ได้กับเส้นแนวรับเช่นกันโดยวาดจากLowเดิม หรือ เป็นราคา Low เดิม ) เมื่อได้ราคาแนวต้านมาแล้วก็ให้พิจารณา...โดยเมื่อเส้นราคาวิ่งมาแถวๆนี้แล้วเราอาจจะขายสักครึ่งนึงก่อน เพราะหากราคาไม่ผ่านเส้นแนวต้านก็อาจจะทำให้เส้นราคาดีดลงกลับมาที่แนวรับได้ (ชื่อมันเองก็บอกอยู่แล้วว่ามันเป็นแนวต้าน คือ จะไม่ให้ผ่านไปได้ง่ายๆยังไงครับ) หรือหากเส้นราคาสามารถตัดผ่านทะลุเส้นแนวต้านได้ก็ให้ทยอยขายอีกรอบ ที่ผมให้ทยอยขายเพราะเราๆท่านๆ คงไม่มีใครรู้ว่าราคาไหนเป็นราคาที่ดีที่สุดใช่ไหมครับ ..ใครๆก็อยากขาย High กันทั้งนั้นเลย แต่จะขายได้สักกี่คนกันเชียว ดังนั้นผมจึงให้กลยุทธ์ทยอยขายยังไงละครับ ชีวิตจะได้ไม่ชีช้ำเพราะถูกเพื่อนล้อว่าขายหมู ขณะเดียวกันในกรณีนี้ก็สามารถนำไปประยุกต์ทยอยซื้อแถวๆแนวรับได้ (ก็ไม่มีใครหยั่งรู้ Lowนี่นา)


สรุป ที่เขียนมาทั้งหมดเนี่ย ก็เพียงแค่

ซื้อตอนถูก...หรือราคาลง...หรือตอน Panic Sell (ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง)

หรือ เข้าซื้อตอนเริ่มแพงในจังหวะที่เริ่มเป็นขาขึ้นก็ได้ (ก็ถือว่าได้ซื้้อราคาค่อนข้างถูก)

และ ให้ขายตอนแพง...หรือราคาขึ้น...หรือตอนที่เค้าเก็งกำไรกันเกินจริง(ราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง)

หรือ ขายออกตอนราคาเริ่มถูก หมายถึงขายในจังหวะที่เป็นปลายขาขึ้นและเริ่มจังหวะขาลงให้เห็น

  • ขาขึ้น = low(ก้น) ใหม่ สูงกว่า low(ก้น) เดิม
  • ขาลง = low(ก้น) ใหม่ ต่ำกว่า low(ก้น) เดิม

เท่านี้เองครับ ...พูดง่ายทำยากจริงๆเลยนะเนี่ย ยังไงรู้กลยุทธ์บริหารการลงทุนเล็กๆน้อยๆไปแล้ว ก็ต้องลองปรับให้เข้ากับเรื่องการบริหารจิตกับใจของตัวนักลงทุนเองด้วยละกันนะครับ ^^


หมายเหตุ บทความเรื่อง ซื้อถูก-ขายแพง...แบบมีวินัย ขอสงวนลิขสิทธิ์เพื่อทางการค้าใดๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Mar...

ภาวะหุ้นและทอง 2-7-10

ทอง : รายงานการใช้สิทธิเคลมการว่างงานในสหรัฐพุ่งสูงขึ้นเป็นทวีคูณ จาก 13000 เป็น 472000 ทำให้เงิน $ อ่อนยวบ และตามปัจจัยพื้นฐานนี้ อันที่จริงเท่าที่คำนวณน่าจะทำให้ทองคำบวกขึ้นไปประมาณ + 20 $ ได้ครับ แต่เหตุการณ์ที่เป็นบวกเช่นนี้กลับถูกแรงขายอย่างหนัก นำโดย SPDR แต่ก็ขายเพียงแค่ 1.22 ตันเท่านั้น ผสมโรง Follow by กองทุนทองคำต่างๆก็ขายออกมาตามกันทำให้ทองคำร่วงไปถึง 1195 ถือว่ารุนแรงมาก เมื่อเทียบ จาก ปริมาณขายที่ดูไม่ค่อยจะมากเท่าไรนัก ผมตื่นเช้ามาโดยหวังว่าน่าจะ Rebound กลับไปที่ 1215 ได้สบายๆแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ขณะที่เขียนเช้านี้อยู่ที่ระดับ 1202 เท่านั้น ปัจจัยทางเทคนิคที่เราเคยใช้เจ้า SMA 21 วันทำกำไรมา 3-4 รอบนั้นเป็นอันต้องลืมไปก่อนแล้วมาหาจุดสังเกตุกันใหม่ ตอนนี้น่าจะดูที่แนวรับ EMA (E=exponential) 75 วัน ซึ่งให้แนวรับที่ 1194 อันเป็นจุดที่ราคาลงมาทดสอบครั้งนึงแล้วไม่หลุดนั่นเองครับ รายงาน จาก สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าคนจะนำเงิน จาก การขายทองเพื่อไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลเนื่อง จาก ความผันผวนทางเศรษฐกิจ .... อ้าว....ตกลงทองไม่ใช่ Save Haven แล้วหรือ ก็ว่า...

Carbon credit ,ไม่ใช่เรื่องใหม่ มาอ่าน เข้าใจกันง่ายๆดีกว่า

"ผลกำไรของเอกชน เป็นของเอกชนเจ้านั้นๆ แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นั่นเป็นของสังคมโดยรวม" การทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไร แต่การดำเนินงานนั้นอาจจะส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมเป็นผลลบสู่สังคม หรือทำให้สังคมขาดทุน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิต  เช่น การผลิตรถยนต์นั้น ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการปล่อย Co2 ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกได้ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก หรือเรียกว่า greenhouse effect  ....นี่เป็นต้นทุนทางสังคม Benefit-cost เราเรียกการทำให้สังคมเสียหายนี้ว่า Negative externalities แปลเป็นไทยแบบภาษาพูดง่ายๆ ก็คือ การประกอบธุรกิจเพื่อหวังผลกำไรของเอกชน(หรืออุตสาหกรรมต่างๆ) กำไรเป็นของเอกชน ซึ่งเป็นเรื่องภายในของคุณ แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของสังคมนั้นเสียหาย ซึ่งก่อผลกระทบสู่ภายนอก ในปี 2005 ภายหลังที่ บิล คลินตัน ออกมารณรงค์เรื่องโลกเขียว (รักษาสิ่งแวดล้อม) สถิติจากWorld Resources  ระบุว่า สหรัฐฯพี่ใหญ่เป็นคนปล่อยCo2สูงสุดปีละ 5.7 พันล้านตัน อันดับ 2 คือจีน 3.4 พันล้านตัน อันดับ 3 คือ รัสเซีย 1.5 พันล้านตัน ญี่ปุ่น 1.2 พันล้านตัน อังกฤษ 558 ล้านตัน ส่วนไทย 172 ล้านตัน...