ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

My Hero




ผมเคยได้ดูภาพยนต์ที่ดีมากๆเรื่องหนึ่งชื่อว่า Batman-The Dark Knight และได้สรุปความลักษณะของฮีโร่คนนี้ได้ว่าเป็นบุคคลประเภท ปิดทองหลังพระ (ตามพระราชดำรัสของในหลวงที่เคารพยิ่งของเรา ที่หวังให้คนไทยเป็นคนดีให้ได้เช่นนี้บ้าง)กล่าวคือ เป็นผู้ซึ่งมีความต้องการช่วยเหลือผู้คนและขจัดความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆรวมทั้งชื่อเสียงและความมีหน้ามีตาในสังคม อีกทั้งยังได้ลงทุนลงแรงมากมายเพื่อให้สำเร็จตามประสงค์ของตนที่อยากได้สังคมที่ดีขึ้นกว่าที่เป็น

ในชีวิตจริงนั้นคงเป็นไปได้ยากที่ในสังคมหนึ่งๆ หรือแม้แต่โลกทั้งใบกลมๆนี้จะมีคนเฉกเช่น Batman เพราะการทำดีในสังคมที่มีแต่อวิชชาหรือความโลภเป็นที่ตั้งนั้น กลับเป็นเรื่องยากที่ผู้ต้องการทำความดีที่อาจต้องมีการเสียสละเกิดขึ้น ซึ่งการเสียสละนี้จะเป็นต้นทุนหรือสิ่งที่เป็นผลเสียต่อคนที่ตั้งใจทำความดีนั้นให้ล้มเลิกความคิดไป หากแต่สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังจากสื่อต่างๆนั้นการทำความดีต่างๆที่พบเจอ 90%หรือมากกว่านั้นเสียอีก คนที่ทำดีผู้นั้นเขาทราบดีว่าเขาจะได้ออกสื่อหรือแม้แต่เป็นผู้เชิญชวนสื่อให้มาทำข่าวในเรื่องที่เขาทำความดีด้วยตัวเอง ซึ่งพบได้กับนักการเมืองหรือนักธุรกิจไทยมากมายเพราะเขารู้ว่าจะส่งผลต่อVote-เลือกตั้ง หรือ Credit ratingของเขา-ในกระบวนการ CSR:Coporate Social Responsibility ส่วนสื่อที่ได้นำเสนอข่าวนั้น อาจตกเป็นเหยื่อโดยไม่ทราบ หรือเต็มใจในการที่ตกเป็นเหยื่อในครั้งนั้นก็ตามที ผมว่าบ้านเมืองเราปล่อยให้มีแต่เรื่องราวเฉกเช่นนี้มาเนิ่นนานจนทำให้ผมเลิกดูโทรทัศน์ไปเสียหลายปีทีเดียว(เฉลี่ยต่ำกว่า 1 ชม.ต่อวัน) หลายคนที่ใกล้ชิดบอกกับผมว่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า ผมคิดว่าไม่นะครับ แค่เบื่อสังคมที่มีแต่การหลอกลวง และก็ใส่หน้ากากเข้าหากันก็เท่านั้นเอง (ยอมรับและถอยห่างแต่ไม่หลีกหนี)

และแล้วเหตุการณ์เล็กๆเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในชิลี ในวันที่ 8 ธค. 2551 เนื่องมาจากสุนัขตัวหนึ่งถูกรถชนบนถนนทางด่วน และเป็นที่มาของฮีโร่ของผม(สุนัขอีกตัว)ได้เข้ามาช่วยลากสุนัขที่ถูกชนนั้นเข้ามาที่ขอบถนน ถึงแม้ได้พบว่าสุนัขที่ถูกชนนั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว

ผมได้ดูคลิปนี้จาก YouTube ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้งไม่ใช่เพราะว่ามันน่าตื่นตาตื่นใจหรือผาดโผนอะไร แต่มันเป็นสิ่งที่ได้กระตุ้นความรู้สึกในด้านคุณธรรมของผม ให้เต็มเปี่ยมไปด้วยปิติสุขและยอมรับว่าทำเอาน้ำตาซึม ทำไมหรือครับ?ถ้าเรา(ผมกับท่านผู้อ่าน)มีความรู้สึกที่ตรงกันคือ มีปิติดังกล่าว ต่อเหตุการณ์นี้แล้วก็ไม่ต้องอ่านต่อก็ได้ครับ ความรู้สึกในใจของผมโดยเฉพาะกับคนไทยที่ชอบเปรียบการกระทำหรือคนที่ไม่ดีกับสัตว์ต่างๆ และที่นิยมนำมาใช้พูดกันมากที่สุดก็คือ หมา เช่นเลวเหมือนหมา ปากหมา ดุเหมือนหมา เป็นต้น เช่นกันสุนัขและคน หากคิดว่าตัวเราเป็นเอเลี่ยน(Alien)มองมาก็จะพบว่าทั้งหมาและคนต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน ซึ่งมีพฤติกรรมทั้งดีและเลวต่างกันไปแต่ละคน แต่ละตัว แต่พฤติกรรมของฮีโร่ผมตัวนี้ช่างเป็นการกระทำที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อเพื่อนสัตว์ ด้วยความกล้าหาญที่เสี่ยงต่อการที่มันเองจะถูกรถชน และไม่ต้องการVotingหรือCredit Ratingใดๆ เพราะมันเองคงไม่รู้ว่ามันจะได้ออกYouTubeหรือแม้แต่มีฝูงหมามาเชียร์อยู่ข้างๆถนนใดๆ การกระทำนี้จึงเป็นการกระทำของผู้ที่ปิดทองหลังพระอย่างแท้จริง และยังเป็นของจริงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นมาอย่างBatmanด้วยซ้ำ

ต่อไปนี้ผมคนนึงซึ่งได้เห็นว่าหมาเองก็มีคุณธรรม ซึ่งสูงกว่าจริยธรรม ที่เพื่อนร่วมอาชีพเราหลายๆคนยังไม่มี ทั้งยักยอก ตกแต่งตัวเลขบัญชีกันสารพัด ฯลฯ อีกทั้งมีมากกว่าผู้ที่เรียกตนเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐบางคนเสียอีก เพราะผู้ที่ทำดีเพราะอยากได้ดีนั้นไม่ดีจริง ที่จริงแล้วเป็นคนอัปปรีย์มากกว่า (หลวงปู่ได้เทศน์ไว้) ในชีวิตประจำวันก็มีให้เห็นสุนัขอยู่หลายตัวที่มีความดีโดยสัญชาติญาณของมัน โดยเฉพาะในเรื่องของความซื่อสัตย์ เช่นหมาแถวบ้านผมที่ผมไม่ได้เลี้ยงเองแต่เคยให้อาหารมัน เชื่อไหมครับว่ามันได้ตอบแทนผมโดยทำหน้าที่เฝ้าบ้านผมให้เพิ่มจากบ้านที่เลี้ยงมันอยู่แล้ว


โลกของผมสดใสขึ้นเป็นกอง ขอบคุณหมาตัวนั้นมากมาย
มันเป็นแรงบันดาลใจให้ผม เป็นความกล้าหาญให้ผม
และ มันคือฮีโร่ของผมและเป็นของจริง ...จากใจ
My Hero.

จารุทัศน์ กัณฑ์ชูสิน ,หนุ่ม


Goodnum@hotmail.com



-------------------------

รูปจาก MGR ,Clipจาก Youtube

keywords: dog save rescue หมาช่วยหมา chili ชิลี หมาฮีโร่ hero


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บัญญัติ 10 ประการ ของวิชาเศรษฐศาสตร์

แต่ละคนเลือกตัดสินใจกันอย่างไร  ? บทบัญญัติที่ 1 : แต่ละคนเผชิญภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” (Tradeoffs) เสมอ There is no such thing as a free lunch การแลกกันระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) และ “ความยุติธรรม” (Equity) การตระหนักรู้ในภาวะ “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็มีความสำคัญเพราะคนสามารถมีการตัดสินใจที่ดีก็ต่อเมื่อทราบถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ บทบัญญัติที่ 2 : ต้นทุนของสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่คุณยอมเสียไปเพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมา ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ สิ่งที่คุณยอมสละไปเพื่อให้ได้มาซึ่งของสิ่งนั้น การตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือไม่ ผู้ตัดสินใจควรคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น นักกีฬาที่อาจทำเงินได้เป็นล้าน ๆ หากออกจากโรงเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพจะตระหนักดีว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเรียนต่อของเขาสูงมาก และไม่น่าแปลกใจที่เขาเหล่านั้นเลือกออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น บทบัญญัติที่ 3 : คนที่มีเหตุมีผลคิดแบบ “เพิ่มทีละหน่วย” (Margin) การเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มทีละหน่วย หรือ “Margina

กระบวนการ(process) สำคัญกว่า ผลลัพธ์(output)

ฝากถึงน้องๆที่เรียนหรือทำงานสายการตลาด หรืองานใดที่มีเป้าหมาย(goal)เป็นสำคัญ รวมถึงท่านผู้บริหาร.... อย่าได้ไปสนใจผลลัพธ์[output] เป้าหมายหรือคะแนนที่ได้ มากจนเกินไป หลายครั้งที่ผลลัพธ์นั้นเป็นปัจจัยที่เราไม่อาจควบคุมได้ หรือต้องใช้โชคช่วย(ดวง) แต่ถ้าเรามีการทำงานหรือมีกระบวนการทำงาน(PROCESS)ที่ดี ...แม้ว่าผลลัพธ์วันนี้ยังไม่ดี จะขอให้เชื่อมั่น และมั่นใจ ในประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานที่ดี และมีคุณภาพ ว่าสักวันหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ดีจะต้องตามมา อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่หากบางท่านมีกระบวนการที่ไม่ดี แต่ดันโชคช่วยมีผลงานที่ดี ก็อย่าได้เบาใจ จะขอให้ จงระมัดระวัง ว่าผลลัพธ์หรือลูกค้าที่ดีนั้น จะอยู่กับท่านได้ไม่นาน หรืออาจจะไม่มีอีกต่อไปก็เป็นได้ เพราะว่าดวงที่ดี จะไม่มาช่วยท่านอยู่บ่อยๆหรอก สรุปคือ ... "กระบวนการดี ผลลัพธ์ดีแน่ กระบวนการไม่ดี ผลลัพธ์ไม่แน่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่าบ้าผลลัพธ์มากจนเกินไป สิ่งสำคัญคือการพัฒนาการทำงาน ไม่ใช่ทำทุกทางเพื่อความสำเร็จ สำเร็จแล้วมิใช่เอาแต่ทำบุญหวังโชค หากต้องพัฒนาตนให้ก้าวต่อไปด้วย จึงจะมั่นคง" ปล.ต่อยอดความคิดจ