ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

Carbon credit ,ไม่ใช่เรื่องใหม่ มาอ่าน เข้าใจกันง่ายๆดีกว่า

โพสต์ล่าสุด

Ben Bernanke : พี่เหม่ง

Ben Bernanke เป็นบุคคลที่ผมชอบเขียนล้อเลียนขำขำ โดยเรียกว่า"พี่เหม่ง" ... เบนันเก้เป็นประธานFedที่รับไม้ต่อจากนายอลัน กรีนสแปน ซึ่งดำรงตำแหน่งเกือบ 20ปี บุคคลที่นักธุรกิจชาวUsกล่าวยกย่องถึงขนาดที่ว่าเป็นเทวดามาโปรด เพราะสามารถทำให้เศรษฐกิจus เติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด อย่างไรก็ดีไม่มีอะไรจะฝืนธรรมชาติได้ การโตอย่างต่อเนื่องมันต้องมีจุดย่อตัวบ้าง แต่ในขณะนั้นเศรษฐกิจus เติบโต เติบโต เติบโต จากมาตรการของนายกรีนสแปน ที่สำคัญก็คือการลดอัตราดอกเบี้ย เมื่อโตอย่างไม่หยุดพัก ก็เหมือนฟองสบู่ลอยล่องรอวันแตก จนกระทั่งพี่เหม่งของผมเข้ามารับช่วงต่อ ฟองสบู่ก็แตกโพล๊ะ พอดิบพอดี -_-" พี่เหม่งของผมก็เลยรับความซวยนี้ไปเต็มๆ ...อย่างไรก็ดีไม้เด็ดของเฮียอย่างQe ถือเป็นการคิดนอกกรอบเพื่อการแก้วิกฤติแบบนึกไม่ถึงเลยทีเดียว จึงทำให้ในปัจจุบันUs สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตนั้นมาได้ด้วยเงินร้อนๆจากQe 2557ม.ค. ,เฮียกำลังจะหมดวาระ โดยมีแคนดิเดตเช่น ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส  และ เจเน็ต เยลเลน ที่จะเข้ามารับช่วงต่อ ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อชื่นชมเฮียแกจริงๆครับ คงคิดถึงไม่น้อยเลยอะ ..... T-

กระบวนการ(process) สำคัญกว่า ผลลัพธ์(output)

ฝากถึงน้องๆที่เรียนหรือทำงานสายการตลาด หรืองานใดที่มีเป้าหมาย(goal)เป็นสำคัญ รวมถึงท่านผู้บริหาร.... อย่าได้ไปสนใจผลลัพธ์[output] เป้าหมายหรือคะแนนที่ได้ มากจนเกินไป หลายครั้งที่ผลลัพธ์นั้นเป็นปัจจัยที่เราไม่อาจควบคุมได้ หรือต้องใช้โชคช่วย(ดวง) แต่ถ้าเรามีการทำงานหรือมีกระบวนการทำงาน(PROCESS)ที่ดี ...แม้ว่าผลลัพธ์วันนี้ยังไม่ดี จะขอให้เชื่อมั่น และมั่นใจ ในประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานที่ดี และมีคุณภาพ ว่าสักวันหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ดีจะต้องตามมา อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่หากบางท่านมีกระบวนการที่ไม่ดี แต่ดันโชคช่วยมีผลงานที่ดี ก็อย่าได้เบาใจ จะขอให้ จงระมัดระวัง ว่าผลลัพธ์หรือลูกค้าที่ดีนั้น จะอยู่กับท่านได้ไม่นาน หรืออาจจะไม่มีอีกต่อไปก็เป็นได้ เพราะว่าดวงที่ดี จะไม่มาช่วยท่านอยู่บ่อยๆหรอก สรุปคือ ... "กระบวนการดี ผลลัพธ์ดีแน่ กระบวนการไม่ดี ผลลัพธ์ไม่แน่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่าบ้าผลลัพธ์มากจนเกินไป สิ่งสำคัญคือการพัฒนาการทำงาน ไม่ใช่ทำทุกทางเพื่อความสำเร็จ สำเร็จแล้วมิใช่เอาแต่ทำบุญหวังโชค หากต้องพัฒนาตนให้ก้าวต่อไปด้วย จึงจะมั่นคง" ปล.ต่อยอดความคิดจ

สำหรับน้องๆที่กำลังจะเรียนจบ และ/หรือ กำลังเลือกงาน

สำหรับน้องๆที่กำลังจะเรียนจบ และ/หรือ กำลังเลือกงาน : คุณรู้หรือไม่ว่า มันสำคัญขนาดที่จะเปลี่ยนชีวิต แม้กระทั่งจิตวิญญาณคุณได้เลย ดังนั้น "คิดให้ดีๆ" หลายคนโชคดี มีผู้รู้แนะนำ งานที่เหมาะ ที่ใช่กับคุณ หลายคนไม่ได้โชคดี ไม่มีผู้รู้แนะนำ ต้องออกไปผจญภัยเอง จึงจะได้ข้อมูลมา (เช่นผมเอง) สิ่งที่ผมจะแนะนำให้อาจน่าเบื่อ นั่นคือ "เลือกด้วยใจ" ฟังแล้วมัน นามธรรมมาก โบราณมาก แต่เชื่อสิ มันดีที่สุด เลือกด้วยใจ ไม่ได้หมายความว่า เรียนการเงินมาต้องทำงานการเงิน เลือกด้วยใจ ไม่ได้หมายความว่าได้เงินเดือนเยอะที่สุดเท่าที่มีข้อเสนอเข้ามา เลือกด้วยใจ ไม่ได้หมายความว่า คนอื่นบอกว่าดี แต่หาก"เลือกด้วยใจ" คือ "ใช้ใจเลือก" ใช้ใจเลือก สิ่งที่คุณจะสามารถอยู่กับมันได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย ใช้ใจเลือก งานที่คุณเหนื่อยกับมันแล้วยิ่งสนุกมากขึ้น ยิ่งเจอปัญหาก็ยิ่งท้าทาย หากเจองานที่คุณเลือกด้วยใจและหากใช้ใจที่บริสุทธิ์เลือกมันจริงแล้ว งานมันก็จะออกมาดี เงินทองมากมายมันก็ไม่ไปไหนแน่นอน คุณ(น้องๆ)อาจเป็นผู้สร้างนวัตกรรมสักอย่างให้เกิดขึ้นบนโลกนี้อย่าง

กินเจ ในทัศนะของผม

กินเจ : การกินเจเป็นการไม่เบียดเบียนสัตว์ เป็นเรื่องที่น่ายินดีและควรส่งเสริม แต่เราคงลืมกันไปว่า พืช ผัก ก็เป็นสิ่งมีชีวิตนะแต่มันพูดแล้วเราไม่ได้ยิน "แล้วถ้ามันโวยบ้างละ"....เป็นสัตว์กินเนื้อก็ต้องกินเนื้อ เช่น เสือ สิงโต มันเป็นธรรมชาติ ร่างกายพึงต้องการสารอาหารที่ครบถ้วน ส่วนพระภิกษุท่านก็ฉันเนื้อสัตว์ (ยกเว้นเนื้อสัตว์ต้องห้าม 10ประเภท) ตามที่พระพุทธองค์เคยสั่งสอนไว้ว่าฉันได้แต่ลดการเบียดเบียนจึงให้ฉันแค่2มื้อ ในสมัยพุทธกาลเทวทัตเคยการทูลพระพุทธเจ้า ขอมิให้ภิกษุฉันปลาและเนื้อจนตลอดชีวิต แต่พระพุทธองค์มิได้ทรงอนุญาตตามที่ท่านพระเทวทัตขอ แต่มิให้ฆ่าสัตว์เองหรือสั่งให้ผู้อื่นฆ่าเท่านั้น การจะบรรลุธรรมพึงต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์ ไม่หลงผิดพลาดดังเช่นพระพุทธองค์เคยอดอาหารมาแล้ว เพราะสิ่งที่สำคัญคือ จิตใจที่เป็นธรรม มิใช่ความต้องการดำเนินตามสมัย หรือการอวดอ้างยกตนข่มคนหรือภิกษุที่ไม่ได้กินเจ เหล่านี้เป็นอกุศลไม่ใช่กุศล สรุปที่กล่าวมาไม่ได้บอกว่าการกินเจไม่ดี ขอสรุปว่าดีเพราะเป็นการลดการเบียดเบียนสัตว์ แต่มองอีกมุมเราก็เบียดเบียนพืชและผักที่เป็นสิ่งมีชีวิตมากขึ้นเช่นก

Obama vs. Romney (สั้นๆ,แต่ได้ใจความ)

Obama vs. Romney : เมื่อภาพของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธาธิปดี Us :  Mitt Romney มีภาพของCapitalism เพราะเป็นอดีตนักการเงินผู้คร่ำหวอดในวงการ หนึ่งในผู้ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐ และมีปัญหาเรื่องการชี้แจงการจ่ายภาษีที่ไม่ชัดเจน  ส่วนObamaที่มีพื้นเพจากอาชีพนักกฎหมาย และมีความประนีประนอมในด้านยุติสงคราม ก็น่าจะมีภาพของSocialism... ดังนั้นการเลือกตั้งประธานาธิปดีครั้งนี้น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของ Capitalism vs Socialism อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาถึงตัวบุคคล Obamaมีบุคคลิกที่โดดเด่นกว่า แต่ยังคงมีปัญาเรื่องพื้นเพ ส่วนRomneyมีภาพเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่มีปัญหาว่าอาจหลบเลี่ยงการจ่ายภาษี .....มองเฉพาะตัวบุคคลไม่น่ามีปัญหาว่าชัยชนะควรเป็นของ Obama แต่ที่ผ่านมาObama พิสูจน์ผลการทำงานออกมาได้ไม่ดีนัก  USไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมากเช่นดังที่Obamaได้เคยขายฝันเอาไว้หลายเรื่อง คนว่างงานยังมีสัดส่วนที่สูงกว่า13ล้านคน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและสงครามObamaก็มีท่าทีที่อ่อนเกินไป(ในทัศนะของRomney)อีกทั้งการเจรจากับประเทศที่มีปัญหา เช่นเหล่าประเทศมุสลิม จีน รัสเซีย เกาหลีเหนือ ก็ทำได้ไม่ดี ,ดังน

Short note นิทานทองคำ

นักลงทุนทองคำโดนเหตุผลSafe havenหลอกไปกินเงินที่ 1900$(ให้กรีซขายนำเงินมาชำระหนี้ )สุดท้าย ดอกเบี้ย เงินปันผลก็ไม่มี ,วิกฤติยูโรที่รุนแรงมากขึ้น กลับไม่ทำให้นักลงทุนขายสินทรัพ ย์เสี่ยงมาซื้อทองคำเช่นครั้งก่ อนในฐานะSafe haven ...โลกนี้เป็นโลกมายาจริงๆ ช่างสรรหานิทานมาล่อหลอกGreedนั กลงทุนได้อย่างแยบยล...ขอคารวะสื่ อสารมวลชน